รู้หรือไม่? ทางไหนที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้จริง
- Siri Writer
- Aug 3
- 2 min read
Updated: Aug 26
ในยุคที่ความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อของเชื้อเอชไอวี (HIV) ทำให้ผู้ติดเชื้อยังคงเผชิญกับการตีตรา การเลือกปฏิบัติ และความเข้าใจผิดจากสังคม การให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอชไอวีติดต่ออย่างไร และไม่ติดต่ออย่างไร จึงไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ แต่เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เราจะพาคุณมาแยกแยะอย่างชัดเจนว่าเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทางไหน และไม่สามารถติดต่อได้ จากสิ่งใด เพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพ
เอชไอวี (HIV) คืออะไร?
เอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะค่อย ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จนร่างกายติดเชื้ออื่นได้ง่ายมากขึ้น เรียกว่า “โรคฉวยโอกาส” ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา จะนำไปสู่ภาวะโรคเอดส์ (AIDS) ในที่สุด
ข่าวดีคือ ปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่สามารถควบคุมเชื้อได้ดีมาก และหากตรวจพบเร็ว รักษาต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่แข็งแรง และอายุยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

ช่องทางที่ติดต่อได้จริงของเชื้อเอชไอวี
เชื้อเอชไอวีไม่ได้ติดต่อผ่านผิวหนัง หรืออากาศ แต่จะต้องเข้าสู่ร่างกายผ่านของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ ซึ่งรวมถึง
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
นี่คือช่องทางการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด ทั้งในชายหญิง คู่รักเพศเดียวกัน หรือเพศหลากหลาย โดยเฉพาะหากไม่ใช้ถุงยางอนามัย เพราะในน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และเลือดของผู้ที่มีเชื้อสามารถมีปริมาณไวรัสสูง หากเข้าสู่เยื่อบุผิวหรือมีแผลถลอกเล็ก ๆ ก็มีโอกาสรับเชื้อได้ทันที
การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมีโอกาสติดเชื้อสูงที่สุด เพราะผนังลำไส้มีความบาง และฉีกขาดง่าย รองลงมาคือทางช่องคลอด และต่ำสุดคือทางปาก (แต่ยังคงมีความเสี่ยงหากมีแผลในช่องปากหรือโรคในเหงือก)
การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก
เชื้อสามารถถ่ายทอดได้จากแม่สู่ลูกใน 3 ระยะ
ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อสามารถผ่านรกไปยังทารก
ระหว่างคลอด โดยเฉพาะหากมีเลือดปน
ระหว่างให้นมบุตร เชื้อสามารถอยู่ในน้ำนม
แต่หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์ โอกาสถ่ายทอดเชื้อลดลงเหลือน้อยมาก (ต่ำกว่า 1%) ซึ่งถือว่า “เกือบป้องกันได้ 100%” แล้วในยุคนี้
การรับเลือดที่มีเชื้อเอชไอวี
ในอดีต การรับเลือดโดยไม่คัดกรองถือเป็นความเสี่ยงสูง แต่ในปัจจุบัน การบริจาคเลือดในไทยต้องผ่านกระบวนการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างเข้มงวด ทำให้โอกาสในการติดเชื้อผ่านเลือดมีน้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีระบบการคัดกรองที่ดี หรือรับเลือดจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ยังต้องระวัง
การใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มฉีดยาในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด, การสัก, การเจาะหู/ร่างกาย หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที เพราะไวรัสสามารถอยู่ในเลือดแห้งหรือปลายเข็มได้หลายชั่วโมง

สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี
แม้จะยังมีความเชื่อผิด ๆ อยู่มากในสังคม แต่ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) คือ เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปที่ไม่มีการสัมผัสของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ
กิจกรรมต่อไปนี้ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างแน่นอน
การจับมือ กอด หอมแก้ม หรือสัมผัสร่างกายทั่วไป
การสัมผัสทางผิวหนัง ไม่มีทางทำให้เชื้อเอชไอวีแพร่กระจายได้ เพราะเชื้อจะตายทันทีเมื่อตกอยู่นอกร่างกาย หรือบนผิวหนังที่แห้ง ไม่มีแผล การกอด หรือหอมแก้มจึงไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่ควรเป็นเหตุผลให้เราตีตัวออกห่างจากผู้ติดเชื้อ
การใช้ห้องน้ำร่วมกัน
เชื้อเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่แห้งหรือมีความเป็นด่าง เช่นในน้ำยาล้างห้องน้ำหรือพื้นผิวห้องสุขา แม้ผู้ติดเชื้อจะใช้ห้องน้ำก่อนเรา ก็ไม่มีทางที่เชื้อจะติดต่อได้
การกินข้าว ดื่มน้ำ ใช้ช้อนส้อมหรือแก้วน้ำร่วมกัน
น้ำลายของผู้ติดเชื้อมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในปริมาณน้อยมากจนไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ และต้องใช้ในปริมาณมากเกินความเป็นจริงจึงจะเสี่ยง การใช้ช้อนหรือแก้วน้ำร่วมกันไม่ทำให้ติดเชื้อเลย ยกเว้นกรณีที่มีเลือดสด ๆ ปนในปากอย่างชัดเจน ซึ่งก็แทบไม่มีในสถานการณ์ปกติ
การนั่งใกล้กัน อยู่บ้านเดียวกัน หรือทำงานร่วมกัน
การหายใจเดียวกัน อยู่ในห้องเดียวกัน หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ต่อการติดเชื้อเอชไอวี เพราะไม่มีการสัมผัสของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ
การไอหรือจามใส่กัน
เอชไอวีไม่สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามได้ แตกต่างจากเชื้อโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 หากไม่มีเลือดปนออกมา การไอหรือจามจึง ไม่เป็นอันตราย
การถูกแมลงกัด เช่น ยุง เห็บ หมัด
แมลงไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ไม่ว่าจะกัดผู้ติดเชื้อก่อนแล้วมากัดคนอื่นต่อ หรือกัดหลายคนติดกัน เพราะ
เชื้อเอชไอวี ไม่สามารถอยู่รอดในลำไส้ของแมลง
แมลงอย่างยุง ไม่ส่งเลือดจากคนก่อนหน้าไปยังคนต่อไป มันดูดเลือด ไม่ได้ฉีดคืนเข้าไป
จึงไม่ต้องกลัวการติดเชื้อจากยุงหรือแมลงอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย

แล้วอะไรคือของเหลวในร่างกายที่ต้องระวัง?
สิ่งที่สามารถมีเชื้อเอชไอวีในปริมาณสูง ได้แก่
เลือด
น้ำอสุจิ
น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด
น้ำนมแม่
น้ำคัดหลั่งจากทวารหนัก
ถ้าไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายโดยมีแผลหรือเยื่อบุบอบบาง ก็ไม่มีทางติดเชื้อเอชไอวี
เพราะเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดในอากาศ หรือบนผิวหนังแห้งได้ และไม่สามารถถ่ายทอดผ่านน้ำลาย เหงื่อ น้ำตา หรือปัสสาวะที่ไม่มีเลือดปน
ทำไมความเข้าใจผิดจึงยังคงอยู่?
แม้ในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมาก และข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวี (HIV) ก็มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีกลับยังคงฝังแน่นอยู่ในสังคมไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านข้อมูล แต่ยังสะท้อนถึงระบบสังคม ค่านิยม และการขาดการสื่อสารอย่างถูกต้อง และทั่วถึง
สาเหตุหลักของความเข้าใจผิดมีดังนี้
ข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันทางสื่อ หรือจากรุ่นสู่รุ่น
ในอดีต สื่อกระแสหลักจำนวนมากนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเอชไอวี และเอดส์ในลักษณะที่น่ากลัว หวาดระแวง และผูกโยงกับพฤติกรรมทางเพศที่ถูกตีตราว่า "ไม่เหมาะสม" ทำให้ผู้คนจดจำภาพจำเหล่านั้นไว้ และส่งต่อความกลัวหรือความเชื่อผิด ๆ โดยไม่เคยอัปเดตกับข้อเท็จจริงใหม่ทางการแพทย์
ในครอบครัวหรือชุมชน บางคนยังคงเล่าเรื่องว่า “ห้ามใช้แก้วน้ำร่วมกับคนที่เป็นเอดส์” หรือ “อยู่บ้านเดียวกันแล้วจะติด” ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมาอย่างยาวนาน และหากไม่มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป
การตีตราจากสื่อบางประเภทที่ทำให้เอชไอวีดูน่ากลัวเกินจริง
ในซีรีส์ ละคร หรือแม้แต่ข่าวบางประเภท ยังคงมีการใช้ “ผู้ติดเชื้อ” เป็นตัวละครที่ดูเศร้า ถูกทอดทิ้ง หรือเป็นคนที่ทำผิด ทำให้ผู้ชมในสังคมซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าเอชไอวีคือ “สิ่งผิด” หรือ “น่ากลัว” แทนที่จะเข้าใจว่าเอช
ไอวีเป็นเพียงโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้
สื่อมีอิทธิพลสูงมากต่อการสร้างค่านิยม หากไม่มีการเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่อง ก็จะยังคงผลิตซ้ำภาพลบที่ทำให้สังคมกลัว และรังเกียจผู้ติดเชื้อ
ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้หรือไม่เข้าใจ
มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น หรือไม่มีความรู้มากพอจะอธิบายได้ เชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และการติดเชื้อก็ไม่แสดงอาการในทันที จึงทำให้หลายคน “คิดเผื่อไว้ก่อน” ด้วยการตีตัวออกห่างจากผู้ติดเชื้อ ทั้งที่ไม่เคยรับข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง
การศึกษาที่จำกัดโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท หรือกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต และบริการสุขภาพ ยิ่งทำให้ความกลัวอยู่เหนือความเข้าใจ
การไม่เข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้
แม้จะมีเว็บไซต์หรือหน่วยงานที่ให้ข้อมูลเอชไอวีที่ถูกต้อง แต่หลายคนก็ยังไม่รู้จักหรือไม่รู้ว่าควรเชื่อแหล่งใด จึงหันไปเชื่อคำพูดจากคนรอบข้างหรือแชร์ในโซเชียลมีเดียซึ่งอาจคลาดเคลื่อน
ในบางพื้นที่ยังไม่มีระบบสนับสนุนให้ประชาชนสามารถขอคำปรึกษาเรื่องเอชไอวีได้อย่างปลอดภัย ไม่เสียหน้า และไม่รู้สึกว่าตนเองจะถูกตัดสิน
ผลกระทบของความเข้าใจผิดเหล่านี้คืออะไร?
ผู้ติดเชื้อมักไม่กล้าเปิดเผยสถานะของตนเอง เพราะกลัวจะถูกตีตรา โดนรังเกียจ หรือเสียโอกาสในชีวิต เช่น การทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์
การไม่กล้าเปิดเผยอาจนำไปสู่การรักษาล่าช้า หรือไม่กล้าไปตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้โอกาสควบคุมไวรัสยากขึ้น
ผู้ไม่มีเชื้อก็อาจป้องกันตัวเองได้ไม่ถูกต้อง หากไปเชื่อข่าวปลอม เช่น "ใส่ถุงยางแค่บางครั้งก็พอ" หรือ "คนหน้าตาดีดูสะอาดคงไม่ติด" ก็อาจนำไปสู่การรับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ
สังคมโดยรวมเกิดบรรยากาศของความกลัว และการแบ่งแยก ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการรณรงค์ป้องกันเอชไอวีในระดับประเทศ
ทางออก เปลี่ยนความเชื่อ = เปลี่ยนชีวิต
สื่อควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่ผลิตซ้ำความกลัว
โรงเรียนควรมีบทเรียนเรื่องสุขภาพทางเพศ และเอชไอวีตั้งแต่ระดับต้น
หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคมควรจัดการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง
คนทั่วไปควรกล้าเรียนรู้ใหม่ และช่วยกันหยุดการตีตรา

วิธีป้องกันตนเองจากเชื้อเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันที่ถูกวิธี = ช่วยลดความเสี่ยง และหยุดการแพร่เชื้อในชุมชน
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไม่ใช่เรื่องยากหรือน่าอาย หากเราเข้าใจความเสี่ยงของตนเองและเลือกใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสม ทั้งนี้ ความสำเร็จในการป้องกันขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ และความต่อเนื่อง ของการปฏิบัติมากพอ ๆ กับการเลือกวิธีป้องกัน
สำหรับประชาชนทั่วไป ป้องกันอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงชัดเจน
แม้คุณจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ หรือใช้บริการด้านสุขภาพบางประเภท ยังคงมีความเสี่ยงได้ ดังนั้น การป้องกันเบื้องต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน
วิธีการป้องกัน
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง และสม่ำเสมอ คือวิธีที่ง่าย และได้ผลดีที่สุดในการป้องกันเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน และ HPV
ตรวจหาเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพทางเพศควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก 3-6 เดือนในกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ได้ใช้ถุงยางทุกครั้ง การรู้สถานะของตนเองเร็ว ช่วยให้สามารถรักษาได้ทัน และไม่แพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น เข็มฉีดยา กรรไกรตัดเล็บ ที่โกนหนวด หรือของใช้ในร้านเสริมสวย ควรแน่ใจว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของส่วนตัวหรือผ่านการฆ่าเชื้อแล้วอย่างถูกวิธี
เลือกสถานพยาบาลหรือร้านบริการที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวข้องกับเลือด เช่น การสัก เจาะร่างกาย หรือทำฟัน ควรเลือกใช้บริการจากสถานที่ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากเครื่องมือที่ไม่ได้ฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง เพิ่มมาตรการด้วย PrEP และ PEP
หากคุณมีพฤติกรรมที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น
มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะ
มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
ใช้สารเสพติดแบบฉีด
ประกอบอาชีพบริการทางเพศ
เป็นคู่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ควรพิจารณาการใช้ PrEP หรือ PEP ซึ่งเป็นแนวทางการป้องกันเพิ่มเติมที่มีประสิทธิภาพสูง
PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่รับประทานทุกวัน (หรือก่อน-หลังมีเพศสัมพันธ์ในบางแนวทาง) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแม้จะสัมผัสกับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ
ใช้ก่อนมีความเสี่ยง
มีประสิทธิภาพสูงถึง 99% หากรับประทานต่อเนื่องอย่างถูกต้อง
ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย และสามารถหยุดใช้ได้หากไม่มีความเสี่ยง
PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉินที่ใช้ภายหลังสัมผัสความเสี่ยง เช่น
มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
ถุงยางแตก
ถูกข่มขืน
สัมผัสเลือดผู้ติดเชื้อผ่านบาดแผลหรือเข็มแทง
ต้องเริ่มใช้ ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากเสี่ยง
รับประทานต่อเนื่อง 28 วัน
ประสิทธิภาพสูง หากเริ่มเร็ว และรับยาครบตามแพทย์สั่ง
ทั้ง PrEP และ PEP ไม่สามารถใช้แทนกันได้!
PrEP = ป้องกันก่อนสัมผัส เหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
PEP = ป้องกันหลังสัมผัส เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือเหตุไม่คาดคิด
ทั้งสองชนิดต้องได้รับการแนะนำ และติดตามจากบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อได้จากการใช้ชีวิตร่วมกันในชีวิตประจำวัน เช่น การจับมือ กอด หรือกินข้าวร่วมกัน แต่ติดต่อได้จากของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำเชื้อ น้ำหล่อลื่น และน้ำนมแม่ การเข้าใจข้อเท็จจริงเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างไร้การตีตรา พร้อมส่งเสริมสุขภาวะของทุกคนในสังคม
หากคุณหรือคนรอบตัวสงสัยว่าอาจมีความเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีได้ฟรีหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยที่คลินิกนิรนามทั่วประเทศ รวมถึงสามารถขอรับ PrEP หรือ PEP ได้ตามคำแนะนำของแพทย์
เอกสารอ้างอิง
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Transmission. ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อเอชไอวี และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/basics/transmission.html
World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheets. แนวทาง ข้อเท็จจริง และคำแนะนำเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. กรมควบคุมโรค. ข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อเอชไอวี และการป้องกันในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/disease/detail.php?d=16
UNAIDS. Thailand Country Profile – HIV and AIDS Statistics and Information. ข้อมูลสถิติ สถานการณ์ และแนวทางการรับมือ HIV ในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/regionscountries/countries/thailand
UNESCO. HIV and AIDS Stigma and Discrimination. รายงานเกี่ยวกับผลกระทบของการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีและแนวทางลดการเลือกปฏิบัติ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://hivhealthclearinghouse.unesco.org/library/documents/hiv-and-aids-stigma-and-discrimination



Comments