top of page

รู้หรือไม่? ทางไหนที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้จริง

Updated: Aug 26

ในยุคที่ความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อของเชื้อเอชไอวี (HIV) ทำให้ผู้ติดเชื้อยังคงเผชิญกับการตีตรา การเลือกปฏิบัติ และความเข้าใจผิดจากสังคม การให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอชไอวีติดต่ออย่างไร และไม่ติดต่ออย่างไร จึงไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ แต่เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


เราจะพาคุณมาแยกแยะอย่างชัดเจนว่าเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทางไหน และไม่สามารถติดต่อได้ จากสิ่งใด เพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพ


เอชไอวี (HIV) คืออะไร?

เอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะค่อย ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จนร่างกายติดเชื้ออื่นได้ง่ายมากขึ้น เรียกว่า “โรคฉวยโอกาส” ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา จะนำไปสู่ภาวะโรคเอดส์ (AIDS) ในที่สุด


ข่าวดีคือ ปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่สามารถควบคุมเชื้อได้ดีมาก และหากตรวจพบเร็ว รักษาต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่แข็งแรง และอายุยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป


ภาพอธิบายวิธีการที่เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่ได้ เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด และน้ำนมแม่
ช่องทางที่ติดต่อได้จริงของเชื้อเอชไอวี

ช่องทางที่ติดต่อได้จริงของเชื้อเอชไอวี

เชื้อเอชไอวีไม่ได้ติดต่อผ่านผิวหนัง หรืออากาศ แต่จะต้องเข้าสู่ร่างกายผ่านของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ ซึ่งรวมถึง


การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

นี่คือช่องทางการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด ทั้งในชายหญิง คู่รักเพศเดียวกัน หรือเพศหลากหลาย โดยเฉพาะหากไม่ใช้ถุงยางอนามัย เพราะในน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และเลือดของผู้ที่มีเชื้อสามารถมีปริมาณไวรัสสูง หากเข้าสู่เยื่อบุผิวหรือมีแผลถลอกเล็ก ๆ ก็มีโอกาสรับเชื้อได้ทันที

การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมีโอกาสติดเชื้อสูงที่สุด เพราะผนังลำไส้มีความบาง และฉีกขาดง่าย รองลงมาคือทางช่องคลอด และต่ำสุดคือทางปาก (แต่ยังคงมีความเสี่ยงหากมีแผลในช่องปากหรือโรคในเหงือก)


การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

เชื้อสามารถถ่ายทอดได้จากแม่สู่ลูกใน 3 ระยะ

  • ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อสามารถผ่านรกไปยังทารก

  • ระหว่างคลอด โดยเฉพาะหากมีเลือดปน

  • ระหว่างให้นมบุตร เชื้อสามารถอยู่ในน้ำนม

แต่หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์ โอกาสถ่ายทอดเชื้อลดลงเหลือน้อยมาก (ต่ำกว่า 1%) ซึ่งถือว่า “เกือบป้องกันได้ 100%” แล้วในยุคนี้


การรับเลือดที่มีเชื้อเอชไอวี

ในอดีต การรับเลือดโดยไม่คัดกรองถือเป็นความเสี่ยงสูง แต่ในปัจจุบัน การบริจาคเลือดในไทยต้องผ่านกระบวนการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างเข้มงวด ทำให้โอกาสในการติดเชื้อผ่านเลือดมีน้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีระบบการคัดกรองที่ดี หรือรับเลือดจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ยังต้องระวัง


การใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน

ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มฉีดยาในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด, การสัก, การเจาะหู/ร่างกาย หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที เพราะไวรัสสามารถอยู่ในเลือดแห้งหรือปลายเข็มได้หลายชั่วโมง


ภาพแสดงกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ เช่น การกอด การใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือการจับมือ
สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

แม้จะยังมีความเชื่อผิด ๆ อยู่มากในสังคม แต่ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) คือ เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปที่ไม่มีการสัมผัสของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ


กิจกรรมต่อไปนี้ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างแน่นอน


การจับมือ กอด หอมแก้ม หรือสัมผัสร่างกายทั่วไป

การสัมผัสทางผิวหนัง ไม่มีทางทำให้เชื้อเอชไอวีแพร่กระจายได้ เพราะเชื้อจะตายทันทีเมื่อตกอยู่นอกร่างกาย หรือบนผิวหนังที่แห้ง ไม่มีแผล การกอด หรือหอมแก้มจึงไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่ควรเป็นเหตุผลให้เราตีตัวออกห่างจากผู้ติดเชื้อ


การใช้ห้องน้ำร่วมกัน

เชื้อเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่แห้งหรือมีความเป็นด่าง เช่นในน้ำยาล้างห้องน้ำหรือพื้นผิวห้องสุขา แม้ผู้ติดเชื้อจะใช้ห้องน้ำก่อนเรา ก็ไม่มีทางที่เชื้อจะติดต่อได้


การกินข้าว ดื่มน้ำ ใช้ช้อนส้อมหรือแก้วน้ำร่วมกัน

น้ำลายของผู้ติดเชื้อมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในปริมาณน้อยมากจนไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ และต้องใช้ในปริมาณมากเกินความเป็นจริงจึงจะเสี่ยง การใช้ช้อนหรือแก้วน้ำร่วมกันไม่ทำให้ติดเชื้อเลย ยกเว้นกรณีที่มีเลือดสด ๆ ปนในปากอย่างชัดเจน ซึ่งก็แทบไม่มีในสถานการณ์ปกติ


การนั่งใกล้กัน อยู่บ้านเดียวกัน หรือทำงานร่วมกัน

การหายใจเดียวกัน อยู่ในห้องเดียวกัน หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ต่อการติดเชื้อเอชไอวี เพราะไม่มีการสัมผัสของเหลวจากร่างกายที่มีเชื้อ


การไอหรือจามใส่กัน

เอชไอวีไม่สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามได้ แตกต่างจากเชื้อโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 หากไม่มีเลือดปนออกมา การไอหรือจามจึง ไม่เป็นอันตราย


การถูกแมลงกัด เช่น ยุง เห็บ หมัด

แมลงไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ไม่ว่าจะกัดผู้ติดเชื้อก่อนแล้วมากัดคนอื่นต่อ หรือกัดหลายคนติดกัน เพราะ

  • เชื้อเอชไอวี ไม่สามารถอยู่รอดในลำไส้ของแมลง

  • แมลงอย่างยุง ไม่ส่งเลือดจากคนก่อนหน้าไปยังคนต่อไป มันดูดเลือด ไม่ได้ฉีดคืนเข้าไป

จึงไม่ต้องกลัวการติดเชื้อจากยุงหรือแมลงอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย

ภาพแสดงของเหลวในร่างกายที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวี เช่น เลือด น้ำอสุจิ และของเหลวในช่องคลอด
แล้วอะไรคือของเหลวในร่างกายที่ต้องระวัง?

แล้วอะไรคือของเหลวในร่างกายที่ต้องระวัง?

สิ่งที่สามารถมีเชื้อเอชไอวีในปริมาณสูง ได้แก่

  • เลือด

  • น้ำอสุจิ

  • น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด

  • น้ำนมแม่

  • น้ำคัดหลั่งจากทวารหนัก

ถ้าไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายโดยมีแผลหรือเยื่อบุบอบบาง ก็ไม่มีทางติดเชื้อเอชไอวี

เพราะเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดในอากาศ หรือบนผิวหนังแห้งได้ และไม่สามารถถ่ายทอดผ่านน้ำลาย เหงื่อ น้ำตา หรือปัสสาวะที่ไม่มีเลือดปน


ทำไมความเข้าใจผิดจึงยังคงอยู่?

แม้ในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมาก และข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวี (HIV) ก็มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีกลับยังคงฝังแน่นอยู่ในสังคมไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านข้อมูล แต่ยังสะท้อนถึงระบบสังคม ค่านิยม และการขาดการสื่อสารอย่างถูกต้อง และทั่วถึง


สาเหตุหลักของความเข้าใจผิดมีดังนี้


ข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันทางสื่อ หรือจากรุ่นสู่รุ่น

ในอดีต สื่อกระแสหลักจำนวนมากนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเอชไอวี และเอดส์ในลักษณะที่น่ากลัว หวาดระแวง และผูกโยงกับพฤติกรรมทางเพศที่ถูกตีตราว่า "ไม่เหมาะสม" ทำให้ผู้คนจดจำภาพจำเหล่านั้นไว้ และส่งต่อความกลัวหรือความเชื่อผิด ๆ โดยไม่เคยอัปเดตกับข้อเท็จจริงใหม่ทางการแพทย์


ในครอบครัวหรือชุมชน บางคนยังคงเล่าเรื่องว่า “ห้ามใช้แก้วน้ำร่วมกับคนที่เป็นเอดส์” หรือ “อยู่บ้านเดียวกันแล้วจะติด” ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมาอย่างยาวนาน และหากไม่มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป


การตีตราจากสื่อบางประเภทที่ทำให้เอชไอวีดูน่ากลัวเกินจริง

ในซีรีส์ ละคร หรือแม้แต่ข่าวบางประเภท ยังคงมีการใช้ “ผู้ติดเชื้อ” เป็นตัวละครที่ดูเศร้า ถูกทอดทิ้ง หรือเป็นคนที่ทำผิด ทำให้ผู้ชมในสังคมซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าเอชไอวีคือ “สิ่งผิด” หรือ “น่ากลัว” แทนที่จะเข้าใจว่าเอช


ไอวีเป็นเพียงโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้

สื่อมีอิทธิพลสูงมากต่อการสร้างค่านิยม หากไม่มีการเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่อง ก็จะยังคงผลิตซ้ำภาพลบที่ทำให้สังคมกลัว และรังเกียจผู้ติดเชื้อ


ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้หรือไม่เข้าใจ

มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น หรือไม่มีความรู้มากพอจะอธิบายได้ เชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และการติดเชื้อก็ไม่แสดงอาการในทันที จึงทำให้หลายคน “คิดเผื่อไว้ก่อน” ด้วยการตีตัวออกห่างจากผู้ติดเชื้อ ทั้งที่ไม่เคยรับข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง


การศึกษาที่จำกัดโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท หรือกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต และบริการสุขภาพ ยิ่งทำให้ความกลัวอยู่เหนือความเข้าใจ


การไม่เข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้

แม้จะมีเว็บไซต์หรือหน่วยงานที่ให้ข้อมูลเอชไอวีที่ถูกต้อง แต่หลายคนก็ยังไม่รู้จักหรือไม่รู้ว่าควรเชื่อแหล่งใด จึงหันไปเชื่อคำพูดจากคนรอบข้างหรือแชร์ในโซเชียลมีเดียซึ่งอาจคลาดเคลื่อน


ในบางพื้นที่ยังไม่มีระบบสนับสนุนให้ประชาชนสามารถขอคำปรึกษาเรื่องเอชไอวีได้อย่างปลอดภัย ไม่เสียหน้า และไม่รู้สึกว่าตนเองจะถูกตัดสิน


ผลกระทบของความเข้าใจผิดเหล่านี้คืออะไร?

  • ผู้ติดเชื้อมักไม่กล้าเปิดเผยสถานะของตนเอง เพราะกลัวจะถูกตีตรา โดนรังเกียจ หรือเสียโอกาสในชีวิต เช่น การทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์

  • การไม่กล้าเปิดเผยอาจนำไปสู่การรักษาล่าช้า หรือไม่กล้าไปตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้โอกาสควบคุมไวรัสยากขึ้น

  • ผู้ไม่มีเชื้อก็อาจป้องกันตัวเองได้ไม่ถูกต้อง หากไปเชื่อข่าวปลอม เช่น "ใส่ถุงยางแค่บางครั้งก็พอ" หรือ "คนหน้าตาดีดูสะอาดคงไม่ติด" ก็อาจนำไปสู่การรับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ

  • สังคมโดยรวมเกิดบรรยากาศของความกลัว และการแบ่งแยก ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการรณรงค์ป้องกันเอชไอวีในระดับประเทศ


ทางออก เปลี่ยนความเชื่อ = เปลี่ยนชีวิต

  • สื่อควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่ผลิตซ้ำความกลัว

  • โรงเรียนควรมีบทเรียนเรื่องสุขภาพทางเพศ และเอชไอวีตั้งแต่ระดับต้น

  • หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคมควรจัดการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

  • คนทั่วไปควรกล้าเรียนรู้ใหม่ และช่วยกันหยุดการตีตรา

ภาพแนะนำวิธีป้องกัน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การรับยา PrEP และการตรวจเช็คสถานะเอชไอวีเป็นประจำ
วิธีป้องกันตนเองจากเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีป้องกันตนเองจากเชื้อเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันที่ถูกวิธี = ช่วยลดความเสี่ยง และหยุดการแพร่เชื้อในชุมชน

การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไม่ใช่เรื่องยากหรือน่าอาย หากเราเข้าใจความเสี่ยงของตนเองและเลือกใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสม ทั้งนี้ ความสำเร็จในการป้องกันขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ และความต่อเนื่อง ของการปฏิบัติมากพอ ๆ กับการเลือกวิธีป้องกัน


สำหรับประชาชนทั่วไป ป้องกันอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงชัดเจน

แม้คุณจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ หรือใช้บริการด้านสุขภาพบางประเภท ยังคงมีความเสี่ยงได้ ดังนั้น การป้องกันเบื้องต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน


วิธีการป้องกัน

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง และสม่ำเสมอ คือวิธีที่ง่าย และได้ผลดีที่สุดในการป้องกันเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน และ HPV

  • ตรวจหาเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพทางเพศควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก 3-6 เดือนในกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ได้ใช้ถุงยางทุกครั้ง การรู้สถานะของตนเองเร็ว ช่วยให้สามารถรักษาได้ทัน และไม่แพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว

  • ไม่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น เข็มฉีดยา กรรไกรตัดเล็บ ที่โกนหนวด หรือของใช้ในร้านเสริมสวย ควรแน่ใจว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของส่วนตัวหรือผ่านการฆ่าเชื้อแล้วอย่างถูกวิธี

  • เลือกสถานพยาบาลหรือร้านบริการที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวข้องกับเลือด เช่น การสัก เจาะร่างกาย หรือทำฟัน ควรเลือกใช้บริการจากสถานที่ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากเครื่องมือที่ไม่ได้ฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง


สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง เพิ่มมาตรการด้วย PrEP และ PEP

หากคุณมีพฤติกรรมที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะ

  • มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

  • ใช้สารเสพติดแบบฉีด

  • ประกอบอาชีพบริการทางเพศ

  • เป็นคู่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ควรพิจารณาการใช้ PrEP หรือ PEP ซึ่งเป็นแนวทางการป้องกันเพิ่มเติมที่มีประสิทธิภาพสูง


PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่รับประทานทุกวัน (หรือก่อน-หลังมีเพศสัมพันธ์ในบางแนวทาง) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแม้จะสัมผัสกับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ

  • ใช้ก่อนมีความเสี่ยง

  • มีประสิทธิภาพสูงถึง 99% หากรับประทานต่อเนื่องอย่างถูกต้อง

  • ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย และสามารถหยุดใช้ได้หากไม่มีความเสี่ยง


PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉินที่ใช้ภายหลังสัมผัสความเสี่ยง เช่น

  • มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน

  • ถุงยางแตก

  • ถูกข่มขืน

  • สัมผัสเลือดผู้ติดเชื้อผ่านบาดแผลหรือเข็มแทง

  • ต้องเริ่มใช้ ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากเสี่ยง

  • รับประทานต่อเนื่อง 28 วัน

  • ประสิทธิภาพสูง หากเริ่มเร็ว และรับยาครบตามแพทย์สั่ง


ทั้ง PrEP และ PEP ไม่สามารถใช้แทนกันได้!

  • PrEP = ป้องกันก่อนสัมผัส เหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

  • PEP = ป้องกันหลังสัมผัส เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือเหตุไม่คาดคิด

ทั้งสองชนิดต้องได้รับการแนะนำ และติดตามจากบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น


เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อได้จากการใช้ชีวิตร่วมกันในชีวิตประจำวัน เช่น การจับมือ กอด หรือกินข้าวร่วมกัน แต่ติดต่อได้จากของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำเชื้อ น้ำหล่อลื่น และน้ำนมแม่ การเข้าใจข้อเท็จจริงเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างไร้การตีตรา พร้อมส่งเสริมสุขภาวะของทุกคนในสังคม


หากคุณหรือคนรอบตัวสงสัยว่าอาจมีความเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีได้ฟรีหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยที่คลินิกนิรนามทั่วประเทศ รวมถึงสามารถขอรับ PrEP หรือ PEP ได้ตามคำแนะนำของแพทย์


เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Transmission. ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อเอชไอวี และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/basics/transmission.html

  • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheets. แนวทาง ข้อเท็จจริง และคำแนะนำเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids

  • กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. กรมควบคุมโรค. ข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อเอชไอวี และการป้องกันในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/disease/detail.php?d=16

  • UNAIDS. Thailand Country Profile – HIV and AIDS Statistics and Information. ข้อมูลสถิติ สถานการณ์ และแนวทางการรับมือ HIV ในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/regionscountries/countries/thailand

  • UNESCO. HIV and AIDS Stigma and Discrimination. รายงานเกี่ยวกับผลกระทบของการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีและแนวทางลดการเลือกปฏิบัติ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://hivhealthclearinghouse.unesco.org/library/documents/hiv-and-aids-stigma-and-discrimination

Comments


12 Terry Francine St.

San Francisco, CA 94158

Opening Hours

Mon - Fri

8:00 am – 8:00 pm

Saturday

9:00 am – 7:00 pm

​Sunday

9:00 am – 9:00 pm

bottom of page