top of page

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คำตอบที่ตรงไปตรงมาเพื่อการดูแลสุขภาพ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections – STI) เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและพบได้บ่อยทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการ การติดต่อ การตรวจวินิจฉัย การรักษา หรือการป้องกัน เราจึงรวบรวม คำถามที่พบบ่อย (FAQ) มากกว่า 40 ข้อ พร้อมคำตอบที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างมั่นใจ

ภาพประกอบบทความคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้คำตอบที่ถูกต้องและตรงไปตรงมา เพื่อส่งเสริมความรู้และการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างปลอดภัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คำตอบที่ตรงไปตรงมาเพื่อการดูแลสุขภาพ

Q1: STI คืออะไร? ต่างจาก STD อย่างไร?

A: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI, Sexually Transmitted Infections) หมายถึง การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือเชื้อรา แพร่ผ่านกิจกรรมทางเพศ/สัมผัสสารคัดหลั่งหรือเลือดแม้ยังไม่เกิดอาการ ส่วน STD (Sexually Transmitted Diseases) คือระยะที่การติดเชื้อนั้นก่อให้เกิดโรค/อาการ แล้ว แนวทางสาธารณสุขสมัยใหม่จึงนิยมใช้คำว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะครอบคลุมตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ


Q2: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?

A: 

  • กลุ่มแบคทีเรีย: หนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae), หนองในเทียม (Chlamydia trachomatis), ซิฟิลิส (Treponema pallidum).

  • กลุ่มไวรัส: HIV, HPV (หูดหงอนไก่/มะเร็งปากมดลูก), เริม HSV-1/HSV-2, ไวรัสตับอักเสบ B/C

  • กลุ่มอื่น: พยาธิหิด/เหา, โปรโตซัว (Trichomonas vaginalis).


Q3: ทำไมบางคนติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ?

A: เชื้อหลายชนิดมีช่วงฟักตัว และบางโรค (เช่น หนองในเทียม, HPV) อาจเงียบเป็นเดือน–ปี ผู้ติดเชื้อจึงอาจแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว การตรวจสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก


Q4: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ติดต่อได้ทางไหนบ้าง นอกจากเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่? 

A:

  • ช่องปาก (oral sex): เสี่ยงเริม ซิฟิลิส หนองในคอ HPV

  • ทวารหนัก: เสี่ยงหนองใน/หนองในเทียม/ซิฟิลิส/เริม สูงกว่าช่องคลอด

  • เลือด/เข็มร่วม: เสี่ยง HIV/ไวรัสตับอักเสบ

  • แม่สู่ลูก: ระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม (ขึ้นกับชนิดเชื้อ)

  • ผิวหนังสัมผัสแผล/รอยโรคโดยตรง: เช่น เริม หูดหงอนไก่ ซิฟิลิสระยะแผล


Q5: จูบเฉย ๆ เสี่ยงไหม?

A: ส่วนใหญ่เสี่ยงต่ำมาก ยกเว้นเริมริมฝีปาก (ถ้ามีตุ่มพอง/แผล) และซิฟิลิสระยะมีแผลในปาก


Q6: การใช้ของเล่นทางเพศ (sex toys) เพิ่มความเสี่ยงหรือไม่?

A: เพิ่ม ถ้าใช้ร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดและไม่สวมถุงยาง/ปลอกหุ้มของเล่น เชื้ออย่างหนองในเทียม–หนองใน–Trichomonas สามารถปนเปื้อนและแพร่ได้


Q7: สารหล่อลื่นชนิดไหนปลอดภัยที่สุด?

A: สูตรน้ำหรือซิลิโคนปลอดภัยและไม่ทำให้ถุงยางแตกง่าย เลี่ยงสูตรน้ำมัน (เช่น วาสลีน/ครีม) เพราะทำให้ยางเสื่อม แตกง่าย


Q8: การขริบหนังหุ้มปลาย (circumcision) ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จริงไหม?

A: มีหลักฐานว่าลดความเสี่ยง HIV และโรคบางชนิดในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่ไม่ใช่มาตรการทดแทนถุงยางหรือ PrEP จำเป็นต้องใช้ร่วมกัน


Q9: อาการทั่วไปที่ควรสงสัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?

A:

  • ตกขาวผิดปกติ/มีกลิ่น/คัน/แสบ

  • ปัสสาวะแสบขัด/มีหนองที่ปลายท่อปัสสาวะ

  • แผล/ตุ่ม/ผื่นที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก

  • เจ็บท้องน้อย (โดยเฉพาะสตรี)

  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

  • ต่อมน้ำเหลืองโต/มีไข้ (บางโรค)

หมายเหตุ: ไม่มีอาการไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ


Q10: อาการแยกโรคได้ไหม?

A: อาการคล้ายกันมาก (เช่น หนอง–แสบปัสสาวะ พบได้ทั้งหนองในแท้/เทียม) จึงต้องอาศัยการตรวจยืนยัน


Q11: อาการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทวารหนัก/คอมีอะไรบ้าง?

A: ทวารหนัก: ปวดถ่าย/มีเลือด/มีมูกคันคา คอ: เจ็บคอ ต่อมโต มีกลิ่นปาก บางครั้งไร้อาการ จำเป็นต้องสว็อบเฉพาะตำแหน่งเสี่ยงด้วย

ภาพสื่อความหมายถึงการตรวจสุขภาพหรือการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ แนะนำความถี่ในการตรวจเพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?

Q12: ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?

A: อย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง หากมีคู่นอนหลายคน/เปลี่ยนคู่นอน/มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันให้ตรวจถี่ขึ้น (เช่น ทุก 3–6 เดือน) และตรวจทันทีเมื่อมีอาการ/หลังเหตุเสี่ยง


Q13: ตรวจอะไรบ้างถ้าต้องการแพ็กพื้นฐาน?

A: โดยทั่วไป: HIV, ซิฟิลิส, หนองในแท้/เทียม (ปัสสาวะหรือสว็อบ), ± ไวรัสตับอักเสบบี/ซี และสว็อบคอ–ทวารหนักตามพฤติกรรมเสี่ยง


Q14: Window period คืออะไร สำคัญอย่างไร?

A: คือช่วงเวลาหลังสัมผัสเสี่ยงที่ตรวจแล้วยังอาจให้ผลลบปลอม เพราะเชื้อยังน้อยเกิน ตรวจเร็วไปอาจพลาด ต้องรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละการตรวจ


Q15: Window period คร่าว ๆ ของโรคหลัก ๆ เป็นเท่าไหร่?

A:

  • HIV (Ag/Ab 4th gen): เริ่มตรวจพบราว 2–3 สัปดาห์ หลังเสี่ยง ตรวจยืนยันที่ 6 สัปดาห์–3 เดือนตามคำแนะนำ

  • ซิฟิลิส (VDRL/TPHA): ราว 3–6 สัปดาห์หลังสัมผัส

  • หนองในแท้/เทียม (NAAT): ราว 7–14 วัน

  • ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: หลายสัปดาห์ถึงเดือน ขึ้นกับชนิดการตรวจ (หากผลลบแต่ยังสงสัย ให้ตรวจซ้ำตามช่วงแนะนำ)

Q16: Rapid test vs PCR ต่างกันอย่างไร?

A: Rapid ให้ผลเร็ว ราคาย่อมเยา เหมาะคัดกรองเบื้องต้น ส่วน PCR/NAAT มีความไวสูงกว่า เหมาะยืนยันหรือใช้ในระยะต้นของการติดเชื้อบางโรค


Q17: ชุดตรวจที่บ้านเชื่อถือได้ไหม?

A: มีประโยชน์ในแง่ความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงง่าย แต่ความแม่นยำขึ้นกับคุณภาพชุดตรวจและช่วงเวลา ควรยืนยันผลบวก/ผลลบที่น่าสงสัยกับสถานพยาบาล


Q18: หนองในแท้/เทียมรักษาอย่างไร?

A: ใช้ยาปฏิชีวนะตามแนวทางแพทย์ (สูตรอาจเปลี่ยนได้ตามการดื้อยาในพื้นที่) ควรงดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะครบยา/อาการหาย และ คู่นอนต้องได้รับการรักษาพร้อมกัน เพื่อตัดวงจรติดซ้ำ


Q19: ซิฟิลิสรักษาหายไหม?

A: โดยมากหายได้เมื่อพบเร็วและให้ยาถูกต้อง (เช่น penicillin ตามสูตร) จำเป็นต้อง ติดตามผลเลือด จนค่าลดลงตามเกณฑ์และเฝ้าระวังการติดซ้ำ


Q20: เริมอวัยวะเพศรักษาหายขาดหรือไม่?

A: ไม่หายขาด เชื้อแฝงในเส้นประสาท ทำให้มีการกำเริบได้ ใช้ยาต้านไวรัสลดความรุนแรง/ระยะเวลาการปะทุ และลดการแพร่เชื้อ


Q21: ติด HPV แล้วทำอย่างไร? 

A: บางกรณีร่างกายกำจัดเชื้อเองได้ แต่สายพันธุ์เสี่ยงก่อมะเร็งต้องคัดกรองสม่ำเสมอ (Pap/HPV test) หูดหงอนไก่รักษาได้หลายวิธี (ทายา/จี้/เลเซอร์) วัคซีนช่วยป้องกันสายพันธุ์สำคัญได้ดีที่สุด


Q22: เมื่อตรวจพบเชื้อ ต้องแจ้งคู่นอนอย่างไร?

A: แจ้งอย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อมูลเรื่องการตรวจ–รักษา และแนะนำตรวจ/รักษาพร้อมกัน หลายประเทศมีแบบฟอร์มหรือข้อความมาตรฐานให้ใช้ แจ้งโดยไม่กล่าวโทษ ช่วยลดการดื้อยา–การติดซ้ำ


Q23: รักษาแล้วต้องตรวจซ้ำเมื่อไหร่?

A: แตกต่างตามโรค เช่น หนองในแท้/เทียม แนะนำตรวจซ้ำภายใน 3 เดือนเพื่อคัดกรองการติดซ้ำ ซิฟิลิสติดตามค่าเลือดตามแนวทาง แพทย์จะกำหนดระยะเหมาะสมเป็นรายบุคคล


Q24: รักษาไปแล้วแต่ยังมีอาการ ทำอย่างไร?

A: กลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ (อาจดื้อยา ติดเชื้อซ้ำ หรือติดเชื้อชนิดอื่นร่วม) ห้ามซื้อมายากินเอง/ปรับยาตามใจ

ภาพแนะนำวิธีใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
ใช้ถุงยางอนามัยอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด?

Q25: ใช้ถุงยางอนามัยอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด?

A:

  • เลือกขนาดพอดี ตรวจวันหมดอายุ

  • สวมให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทุกครั้ง

  • ใช้ครั้งเดียว–ทิ้ง

  • ใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำ/ซิลิโคน ไม่ใช้น้ำมัน


Q26: วัคซีนอะไรช่วยลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้บ้าง?

A: HPV (ป้องกันสายพันธุ์ก่อมะเร็งและหูด), ไวรัสตับอักเสบบี (และในบางกลุ่มเสี่ยงพิจารณาไวรัสตับอักเสบเอ) วัคซีนเป็นการป้องกันล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพสูง


Q27: PrEP และ PEP คืออะไร ต่างกันอย่างไร?

A:

  • PrEP: กินก่อนเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสติด HIV สูงมาก

  • PEP: กินหลังเสี่ยง ภายใน 72 ชม. ต่อเนื่อง 28 วัน เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ทั้งสองไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนิดอื่น จึงยังต้องใช้ถุงยาง/ตรวจสม่ำเสมอ


Q28: U=U คืออะไร เกี่ยวอะไรกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น?

A: U=U (Undetectable = Untransmittable) หมายถึงผู้มี HIV ที่รับยาอย่างสม่ำเสมอจนตรวจไม่พบไวรัส ไม่แพร่ HIV ทางเพศ แต่ยังติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นได้ จึงต้องป้องกันควบคู่


Q29: การล้างภายในช่องคลอด/ทวารก่อน–หลังมีเพศสัมพันธ์ช่วยไหม?

A: ไม่แนะนำการสวนล้างรุนแรง เพราะทำลายสมดุลจุลชีพ/ระคายเยื่อบุ เพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บและติดเชื้อ ควรล้างภายนอกด้วยน้ำสะอาดเพียงพอ


Q30: ดื่มแอลกอฮอล์/สารเสพติดเกี่ยวอะไรกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

A: เพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง (ไม่ใช้ถุงยาง/คู่นอนหลายคน), ลดความสามารถตัดสินใจและปฏิบัติตามแผนป้องกัน/กินยาไม่สม่ำเสมอ


Q31: ตั้งครรภ์แล้วติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำอย่างไร?

A: ต้องรีบรักษาเพื่อลดการแพร่สู่ทารก ยาหลายชนิดใช้ได้ในครรภ์ภายใต้การดูแลแพทย์ และควรคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นระยะตามนัด


Q32: ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) ควรตรวจอะไรบ้างเป็นพิเศษ?

A: ตรวจ HIV, ซิฟิลิส, หนองในแท้/เทียม ด้วยการสว็อบตามตำแหน่งที่มีเพศสัมพันธ์จริง (คอ/ทวาร/อวัยวะเพศ) และพิจารณา PrEP/วัคซีน HPV–HBV ตามความเสี่ยง


Q33: ผู้ใช้ฮอร์โมนเพศ/รับการยืนยันเพศ (trans/nb) มีอะไรต้องระวัง?

A: ฮอร์โมนไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้คำนึงถึงปฏิสัมพันธ์ยากับ PrEP/PEP หรือยาต้านไวรัส/ยาปฏิชีวนะ และเลือกอุปกรณ์/สารหล่อลื่นที่ปลอดภัยกับเนื้อเยื่อ


Q34: ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องต้องตรวจ/ป้องกันต่างจากคนทั่วไปไหม?

A: โดยมากต้องคัดกรองถี่ขึ้น รักษารวดเร็ว ทบทวนวัคซีนที่เหมาะสม และติดตามใกล้ชิดกว่าปกติ


Q35: ความเป็นส่วนตัวในการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้รับคุ้มครองไหม?

A: โดยหลักการ เวชระเบียนเป็นความลับ ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิเปิดเผยผลโดยไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นเหตุจำเป็นตามกฎหมาย


Q36: ต้องแจ้งนายจ้าง/สถานศึกษาไหมถ้าตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

A: โดยทั่วไป ไม่จำเป็น และห้ามเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานสถานะสุขภาพ แต่ละกรณีให้ปรึกษาแพทย์/นักสังคมสงเคราะห์หากกังวล


Q37: ทำอย่างไรเมื่อถูกตีตรา/เลือกปฏิบัติจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์? 

A: เก็บหลักฐาน ติดต่อหน่วยงานคุ้มครองสิทธิ ปรึกษาองค์กรชุมชน/NGO และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการช่วยเหลือที่เหมาะสม

ภาพสื่อถึงความเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันแม้เพียงครั้งเดียว แสดงถึงโอกาสในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันครั้งเดียว เสี่ยงแค่ไหน?

Q38: มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันครั้งเดียว เสี่ยงแค่ไหน?

A: ขึ้นกับชนิดกิจกรรม/สถานะเชื้อของคู่นอน/การมีแผล–เลือดออก ฯลฯ แม้ครั้งเดียวก็เสี่ยง ควรวางแผนตรวจตาม window period และพิจารณา PEP หากเข้าเกณฑ์


Q39: มีคู่นอนคนเดียวจึงปลอดภัยจริงไหม?

A: ปลอดภัยขึ้นถ้าทั้งคู่ซื่อสัตย์และผ่านการตรวจ แต่ถ้าอีกฝ่ายมีความเสี่ยงที่ไม่ทราบ ยังมีโอกาสติดเชื้อได้


Q40: ยาคุมช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จริงไหม?

A: ไม่จริง ยาคุมป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องใช้ถุงยาง/มาตรการอื่นร่วมด้วย


Q41: ล้างด้วยน้ำยาหลังมีเพศสัมพันธ์จะลดเชื้อจริงไหม?

A: ไม่ควร สวนล้าง/น้ำยารุนแรงทำให้เยื่อบุระคาย เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ


Q42: ถุงยางแตก/รั่ว ควรทำอย่างไรทันที?

A: หยุดกิจกรรม ล้างด้วยน้ำสะอาดภายนอก พิจารณา PEP สำหรับ HIV ภายใน 72 ชม. และ ยาคุมฉุกเฉิน หากเสี่ยงตั้งครรภ์ รวมทั้งนัดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามช่วงเวลา


Q43: ถ้าดูสะอาดไม่น่าติดจริงไหม?

A: ไม่จริง การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มองไม่เห็นจากภายนอก คนที่ดูสะอาด ก็อาจมีเชื้อโดยไม่รู้ตัว


Q44: ควรบอกคู่นอนคนใหม่เรื่องผลตรวจอย่างไร?

A: พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แสดงผลตรวจล่าสุด เสนอใช้ถุงยาง/ตรวจร่วมกัน และตกลงแนวปฏิบัติร่วม (เช่น ระยะเวลาตรวจซ้ำ)


Q45: ไม่สะดวกไปโรงพยาบาล มีช่องทางใดบ้าง?

A: คลินิกชุมชน/องค์กร NGO บางแห่งมีบริการปรึกษาแบบไม่เปิดเผยตัวตน–ตรวจบางรายการ หรือใช้ชุดตรวจที่บ้าน (แต่ผลควรยืนยันกับผู้เชี่ยวชาญ)


Q46: โปรแกรมดูแลสุขภาพทางเพศที่ควรทำมีอะไรบ้าง?

A:

  • ตรวจสุขภาพทางเพศตามความเสี่ยง (ทุก 3–12 เดือน)

  • วางแผนวัคซีน (HPV/HBV ± HAV)

  • เตรียมถุงยาง/สารหล่อลื่นคุณภาพ

  • พิจารณา PrEP หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

  • บันทึกผลตรวจ–ประวัติการรักษา

  • สื่อสารกับคู่นอนอย่างโปร่งใส


Q47: จะเริ่ม PrEP อย่างไรให้ปลอดภัยและมีวินัย?

A: พบแพทย์ประเมินความเสี่ยง–ตรวจพื้นฐาน (HIV, ไต, HBV ฯลฯ) เริ่มยาตามแผน (รายวัน/On-demand ตามข้อบ่งชี้) ตั้งเตือนกินยา ติดตามผลเลือด–ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุก 3–6 เดือน


Q48: สุขภาพจิตเกี่ยวอะไรกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

A: ความเครียด/ซึมเศร้า/ใช้สารเสพติดทำให้พฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มและวินัยการกินยาลดลง การดูแลสุขภาพใจจึงช่วยลดความเสี่ยงทางอ้อมได้มาก


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม การรู้เท่าทันผ่าน FAQ มากกว่า 30 ข้อ จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการป้องกัน การตรวจ การรักษา และการดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และการเปิดใจพูดคุยกับแพทย์ เพื่อให้คุณมีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงและปลอดภัย


เอกสารอ้างอิง

  • World Health Organization (WHO). Sexually Transmitted Infections (STIs). ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลก อาการ การรักษา และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). STDs – Sexually Transmitted Diseases. ข้อมูลแนวทางการวินิจฉัย รักษา และการป้องกัน STIs. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/default.htm

  • UNAIDS. Global HIV & AIDS Statistics – Fact Sheet. ข้อมูลสถิติและสถานการณ์ HIV/STIs ทั่วโลก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: แนวทางและการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th

  • มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย (Thai Red Cross AIDS Research Centre). ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตรวจและการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.trcarc.org

Comments


12 Terry Francine St.

San Francisco, CA 94158

Opening Hours

Mon - Fri

8:00 am – 8:00 pm

Saturday

9:00 am – 7:00 pm

​Sunday

9:00 am – 9:00 pm

bottom of page