คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คำตอบที่ตรงไปตรงมาเพื่อการดูแลสุขภาพ
- Siri Writer
- 4 days ago
- 3 min read
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections – STI) เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและพบได้บ่อยทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการ การติดต่อ การตรวจวินิจฉัย การรักษา หรือการป้องกัน เราจึงรวบรวม คำถามที่พบบ่อย (FAQ) มากกว่า 40 ข้อ พร้อมคำตอบที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างมั่นใจ

Q1: STI คืออะไร? ต่างจาก STD อย่างไร?
A: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI, Sexually Transmitted Infections) หมายถึง การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือเชื้อรา แพร่ผ่านกิจกรรมทางเพศ/สัมผัสสารคัดหลั่งหรือเลือดแม้ยังไม่เกิดอาการ ส่วน STD (Sexually Transmitted Diseases) คือระยะที่การติดเชื้อนั้นก่อให้เกิดโรค/อาการ แล้ว แนวทางสาธารณสุขสมัยใหม่จึงนิยมใช้คำว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะครอบคลุมตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ
Q2: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?
A:
กลุ่มแบคทีเรีย: หนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae), หนองในเทียม (Chlamydia trachomatis), ซิฟิลิส (Treponema pallidum).
กลุ่มไวรัส: HIV, HPV (หูดหงอนไก่/มะเร็งปากมดลูก), เริม HSV-1/HSV-2, ไวรัสตับอักเสบ B/C
กลุ่มอื่น: พยาธิหิด/เหา, โปรโตซัว (Trichomonas vaginalis).
Q3: ทำไมบางคนติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ?
A: เชื้อหลายชนิดมีช่วงฟักตัว และบางโรค (เช่น หนองในเทียม, HPV) อาจเงียบเป็นเดือน–ปี ผู้ติดเชื้อจึงอาจแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว การตรวจสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก
Q4: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ติดต่อได้ทางไหนบ้าง นอกจากเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่?
A:
ช่องปาก (oral sex): เสี่ยงเริม ซิฟิลิส หนองในคอ HPV
ทวารหนัก: เสี่ยงหนองใน/หนองในเทียม/ซิฟิลิส/เริม สูงกว่าช่องคลอด
เลือด/เข็มร่วม: เสี่ยง HIV/ไวรัสตับอักเสบ
แม่สู่ลูก: ระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม (ขึ้นกับชนิดเชื้อ)
ผิวหนังสัมผัสแผล/รอยโรคโดยตรง: เช่น เริม หูดหงอนไก่ ซิฟิลิสระยะแผล
Q5: จูบเฉย ๆ เสี่ยงไหม?
A: ส่วนใหญ่เสี่ยงต่ำมาก ยกเว้นเริมริมฝีปาก (ถ้ามีตุ่มพอง/แผล) และซิฟิลิสระยะมีแผลในปาก
Q6: การใช้ของเล่นทางเพศ (sex toys) เพิ่มความเสี่ยงหรือไม่?
A: เพิ่ม ถ้าใช้ร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดและไม่สวมถุงยาง/ปลอกหุ้มของเล่น เชื้ออย่างหนองในเทียม–หนองใน–Trichomonas สามารถปนเปื้อนและแพร่ได้
Q7: สารหล่อลื่นชนิดไหนปลอดภัยที่สุด?
A: สูตรน้ำหรือซิลิโคนปลอดภัยและไม่ทำให้ถุงยางแตกง่าย เลี่ยงสูตรน้ำมัน (เช่น วาสลีน/ครีม) เพราะทำให้ยางเสื่อม แตกง่าย
Q8: การขริบหนังหุ้มปลาย (circumcision) ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จริงไหม?
A: มีหลักฐานว่าลดความเสี่ยง HIV และโรคบางชนิดในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่ไม่ใช่มาตรการทดแทนถุงยางหรือ PrEP จำเป็นต้องใช้ร่วมกัน
Q9: อาการทั่วไปที่ควรสงสัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
A:
ตกขาวผิดปกติ/มีกลิ่น/คัน/แสบ
ปัสสาวะแสบขัด/มีหนองที่ปลายท่อปัสสาวะ
แผล/ตุ่ม/ผื่นที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
เจ็บท้องน้อย (โดยเฉพาะสตรี)
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ต่อมน้ำเหลืองโต/มีไข้ (บางโรค)
หมายเหตุ: ไม่มีอาการไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ
Q10: อาการแยกโรคได้ไหม?
A: อาการคล้ายกันมาก (เช่น หนอง–แสบปัสสาวะ พบได้ทั้งหนองในแท้/เทียม) จึงต้องอาศัยการตรวจยืนยัน
Q11: อาการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทวารหนัก/คอมีอะไรบ้าง?
A: ทวารหนัก: ปวดถ่าย/มีเลือด/มีมูกคันคา คอ: เจ็บคอ ต่อมโต มีกลิ่นปาก บางครั้งไร้อาการ จำเป็นต้องสว็อบเฉพาะตำแหน่งเสี่ยงด้วย

Q12: ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?
A: อย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง หากมีคู่นอนหลายคน/เปลี่ยนคู่นอน/มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันให้ตรวจถี่ขึ้น (เช่น ทุก 3–6 เดือน) และตรวจทันทีเมื่อมีอาการ/หลังเหตุเสี่ยง
Q13: ตรวจอะไรบ้างถ้าต้องการแพ็กพื้นฐาน?
A: โดยทั่วไป: HIV, ซิฟิลิส, หนองในแท้/เทียม (ปัสสาวะหรือสว็อบ), ± ไวรัสตับอักเสบบี/ซี และสว็อบคอ–ทวารหนักตามพฤติกรรมเสี่ยง
Q14: Window period คืออะไร สำคัญอย่างไร?
A: คือช่วงเวลาหลังสัมผัสเสี่ยงที่ตรวจแล้วยังอาจให้ผลลบปลอม เพราะเชื้อยังน้อยเกิน ตรวจเร็วไปอาจพลาด ต้องรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละการตรวจ
Q15: Window period คร่าว ๆ ของโรคหลัก ๆ เป็นเท่าไหร่?
A:
HIV (Ag/Ab 4th gen): เริ่มตรวจพบราว 2–3 สัปดาห์ หลังเสี่ยง ตรวจยืนยันที่ 6 สัปดาห์–3 เดือนตามคำแนะนำ
ซิฟิลิส (VDRL/TPHA): ราว 3–6 สัปดาห์หลังสัมผัส
หนองในแท้/เทียม (NAAT): ราว 7–14 วัน
ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: หลายสัปดาห์ถึงเดือน ขึ้นกับชนิดการตรวจ (หากผลลบแต่ยังสงสัย ให้ตรวจซ้ำตามช่วงแนะนำ)
Q16: Rapid test vs PCR ต่างกันอย่างไร?
A: Rapid ให้ผลเร็ว ราคาย่อมเยา เหมาะคัดกรองเบื้องต้น ส่วน PCR/NAAT มีความไวสูงกว่า เหมาะยืนยันหรือใช้ในระยะต้นของการติดเชื้อบางโรค
Q17: ชุดตรวจที่บ้านเชื่อถือได้ไหม?
A: มีประโยชน์ในแง่ความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงง่าย แต่ความแม่นยำขึ้นกับคุณภาพชุดตรวจและช่วงเวลา ควรยืนยันผลบวก/ผลลบที่น่าสงสัยกับสถานพยาบาล
Q18: หนองในแท้/เทียมรักษาอย่างไร?
A: ใช้ยาปฏิชีวนะตามแนวทางแพทย์ (สูตรอาจเปลี่ยนได้ตามการดื้อยาในพื้นที่) ควรงดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะครบยา/อาการหาย และ คู่นอนต้องได้รับการรักษาพร้อมกัน เพื่อตัดวงจรติดซ้ำ
Q19: ซิฟิลิสรักษาหายไหม?
A: โดยมากหายได้เมื่อพบเร็วและให้ยาถูกต้อง (เช่น penicillin ตามสูตร) จำเป็นต้อง ติดตามผลเลือด จนค่าลดลงตามเกณฑ์และเฝ้าระวังการติดซ้ำ
Q20: เริมอวัยวะเพศรักษาหายขาดหรือไม่?
A: ไม่หายขาด เชื้อแฝงในเส้นประสาท ทำให้มีการกำเริบได้ ใช้ยาต้านไวรัสลดความรุนแรง/ระยะเวลาการปะทุ และลดการแพร่เชื้อ
Q21: ติด HPV แล้วทำอย่างไร?
A: บางกรณีร่างกายกำจัดเชื้อเองได้ แต่สายพันธุ์เสี่ยงก่อมะเร็งต้องคัดกรองสม่ำเสมอ (Pap/HPV test) หูดหงอนไก่รักษาได้หลายวิธี (ทายา/จี้/เลเซอร์) วัคซีนช่วยป้องกันสายพันธุ์สำคัญได้ดีที่สุด
Q22: เมื่อตรวจพบเชื้อ ต้องแจ้งคู่นอนอย่างไร?
A: แจ้งอย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อมูลเรื่องการตรวจ–รักษา และแนะนำตรวจ/รักษาพร้อมกัน หลายประเทศมีแบบฟอร์มหรือข้อความมาตรฐานให้ใช้ แจ้งโดยไม่กล่าวโทษ ช่วยลดการดื้อยา–การติดซ้ำ
Q23: รักษาแล้วต้องตรวจซ้ำเมื่อไหร่?
A: แตกต่างตามโรค เช่น หนองในแท้/เทียม แนะนำตรวจซ้ำภายใน 3 เดือนเพื่อคัดกรองการติดซ้ำ ซิฟิลิสติดตามค่าเลือดตามแนวทาง แพทย์จะกำหนดระยะเหมาะสมเป็นรายบุคคล
Q24: รักษาไปแล้วแต่ยังมีอาการ ทำอย่างไร?
A: กลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ (อาจดื้อยา ติดเชื้อซ้ำ หรือติดเชื้อชนิดอื่นร่วม) ห้ามซื้อมายากินเอง/ปรับยาตามใจ

Q25: ใช้ถุงยางอนามัยอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด?
A:
เลือกขนาดพอดี ตรวจวันหมดอายุ
สวมให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทุกครั้ง
ใช้ครั้งเดียว–ทิ้ง
ใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำ/ซิลิโคน ไม่ใช้น้ำมัน
Q26: วัคซีนอะไรช่วยลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้บ้าง?
A: HPV (ป้องกันสายพันธุ์ก่อมะเร็งและหูด), ไวรัสตับอักเสบบี (และในบางกลุ่มเสี่ยงพิจารณาไวรัสตับอักเสบเอ) วัคซีนเป็นการป้องกันล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพสูง
Q27: PrEP และ PEP คืออะไร ต่างกันอย่างไร?
A:
PrEP: กินก่อนเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสติด HIV สูงมาก
PEP: กินหลังเสี่ยง ภายใน 72 ชม. ต่อเนื่อง 28 วัน เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ทั้งสองไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนิดอื่น จึงยังต้องใช้ถุงยาง/ตรวจสม่ำเสมอ
Q28: U=U คืออะไร เกี่ยวอะไรกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น?
A: U=U (Undetectable = Untransmittable) หมายถึงผู้มี HIV ที่รับยาอย่างสม่ำเสมอจนตรวจไม่พบไวรัส ไม่แพร่ HIV ทางเพศ แต่ยังติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นได้ จึงต้องป้องกันควบคู่
Q29: การล้างภายในช่องคลอด/ทวารก่อน–หลังมีเพศสัมพันธ์ช่วยไหม?
A: ไม่แนะนำการสวนล้างรุนแรง เพราะทำลายสมดุลจุลชีพ/ระคายเยื่อบุ เพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บและติดเชื้อ ควรล้างภายนอกด้วยน้ำสะอาดเพียงพอ
Q30: ดื่มแอลกอฮอล์/สารเสพติดเกี่ยวอะไรกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
A: เพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง (ไม่ใช้ถุงยาง/คู่นอนหลายคน), ลดความสามารถตัดสินใจและปฏิบัติตามแผนป้องกัน/กินยาไม่สม่ำเสมอ
Q31: ตั้งครรภ์แล้วติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำอย่างไร?
A: ต้องรีบรักษาเพื่อลดการแพร่สู่ทารก ยาหลายชนิดใช้ได้ในครรภ์ภายใต้การดูแลแพทย์ และควรคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นระยะตามนัด
Q32: ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) ควรตรวจอะไรบ้างเป็นพิเศษ?
A: ตรวจ HIV, ซิฟิลิส, หนองในแท้/เทียม ด้วยการสว็อบตามตำแหน่งที่มีเพศสัมพันธ์จริง (คอ/ทวาร/อวัยวะเพศ) และพิจารณา PrEP/วัคซีน HPV–HBV ตามความเสี่ยง
Q33: ผู้ใช้ฮอร์โมนเพศ/รับการยืนยันเพศ (trans/nb) มีอะไรต้องระวัง?
A: ฮอร์โมนไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้คำนึงถึงปฏิสัมพันธ์ยากับ PrEP/PEP หรือยาต้านไวรัส/ยาปฏิชีวนะ และเลือกอุปกรณ์/สารหล่อลื่นที่ปลอดภัยกับเนื้อเยื่อ
Q34: ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องต้องตรวจ/ป้องกันต่างจากคนทั่วไปไหม?
A: โดยมากต้องคัดกรองถี่ขึ้น รักษารวดเร็ว ทบทวนวัคซีนที่เหมาะสม และติดตามใกล้ชิดกว่าปกติ
Q35: ความเป็นส่วนตัวในการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้รับคุ้มครองไหม?
A: โดยหลักการ เวชระเบียนเป็นความลับ ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิเปิดเผยผลโดยไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นเหตุจำเป็นตามกฎหมาย
Q36: ต้องแจ้งนายจ้าง/สถานศึกษาไหมถ้าตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
A: โดยทั่วไป ไม่จำเป็น และห้ามเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานสถานะสุขภาพ แต่ละกรณีให้ปรึกษาแพทย์/นักสังคมสงเคราะห์หากกังวล
Q37: ทำอย่างไรเมื่อถูกตีตรา/เลือกปฏิบัติจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
A: เก็บหลักฐาน ติดต่อหน่วยงานคุ้มครองสิทธิ ปรึกษาองค์กรชุมชน/NGO และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการช่วยเหลือที่เหมาะสม

Q38: มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันครั้งเดียว เสี่ยงแค่ไหน?
A: ขึ้นกับชนิดกิจกรรม/สถานะเชื้อของคู่นอน/การมีแผล–เลือดออก ฯลฯ แม้ครั้งเดียวก็เสี่ยง ควรวางแผนตรวจตาม window period และพิจารณา PEP หากเข้าเกณฑ์
Q39: มีคู่นอนคนเดียวจึงปลอดภัยจริงไหม?
A: ปลอดภัยขึ้นถ้าทั้งคู่ซื่อสัตย์และผ่านการตรวจ แต่ถ้าอีกฝ่ายมีความเสี่ยงที่ไม่ทราบ ยังมีโอกาสติดเชื้อได้
Q40: ยาคุมช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จริงไหม?
A: ไม่จริง ยาคุมป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องใช้ถุงยาง/มาตรการอื่นร่วมด้วย
Q41: ล้างด้วยน้ำยาหลังมีเพศสัมพันธ์จะลดเชื้อจริงไหม?
A: ไม่ควร สวนล้าง/น้ำยารุนแรงทำให้เยื่อบุระคาย เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ
Q42: ถุงยางแตก/รั่ว ควรทำอย่างไรทันที?
A: หยุดกิจกรรม ล้างด้วยน้ำสะอาดภายนอก พิจารณา PEP สำหรับ HIV ภายใน 72 ชม. และ ยาคุมฉุกเฉิน หากเสี่ยงตั้งครรภ์ รวมทั้งนัดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามช่วงเวลา
Q43: ถ้าดูสะอาดไม่น่าติดจริงไหม?
A: ไม่จริง การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มองไม่เห็นจากภายนอก คนที่ดูสะอาด ก็อาจมีเชื้อโดยไม่รู้ตัว
Q44: ควรบอกคู่นอนคนใหม่เรื่องผลตรวจอย่างไร?
A: พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แสดงผลตรวจล่าสุด เสนอใช้ถุงยาง/ตรวจร่วมกัน และตกลงแนวปฏิบัติร่วม (เช่น ระยะเวลาตรวจซ้ำ)
Q45: ไม่สะดวกไปโรงพยาบาล มีช่องทางใดบ้าง?
A: คลินิกชุมชน/องค์กร NGO บางแห่งมีบริการปรึกษาแบบไม่เปิดเผยตัวตน–ตรวจบางรายการ หรือใช้ชุดตรวจที่บ้าน (แต่ผลควรยืนยันกับผู้เชี่ยวชาญ)
Q46: โปรแกรมดูแลสุขภาพทางเพศที่ควรทำมีอะไรบ้าง?
A:
ตรวจสุขภาพทางเพศตามความเสี่ยง (ทุก 3–12 เดือน)
วางแผนวัคซีน (HPV/HBV ± HAV)
เตรียมถุงยาง/สารหล่อลื่นคุณภาพ
พิจารณา PrEP หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
บันทึกผลตรวจ–ประวัติการรักษา
สื่อสารกับคู่นอนอย่างโปร่งใส
Q47: จะเริ่ม PrEP อย่างไรให้ปลอดภัยและมีวินัย?
A: พบแพทย์ประเมินความเสี่ยง–ตรวจพื้นฐาน (HIV, ไต, HBV ฯลฯ) เริ่มยาตามแผน (รายวัน/On-demand ตามข้อบ่งชี้) ตั้งเตือนกินยา ติดตามผลเลือด–ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุก 3–6 เดือน
Q48: สุขภาพจิตเกี่ยวอะไรกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
A: ความเครียด/ซึมเศร้า/ใช้สารเสพติดทำให้พฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มและวินัยการกินยาลดลง การดูแลสุขภาพใจจึงช่วยลดความเสี่ยงทางอ้อมได้มาก
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม การรู้เท่าทันผ่าน FAQ มากกว่า 30 ข้อ จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการป้องกัน การตรวจ การรักษา และการดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และการเปิดใจพูดคุยกับแพทย์ เพื่อให้คุณมีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงและปลอดภัย
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization (WHO). Sexually Transmitted Infections (STIs). ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลก อาการ การรักษา และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). STDs – Sexually Transmitted Diseases. ข้อมูลแนวทางการวินิจฉัย รักษา และการป้องกัน STIs. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/default.htm
UNAIDS. Global HIV & AIDS Statistics – Fact Sheet. ข้อมูลสถิติและสถานการณ์ HIV/STIs ทั่วโลก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: แนวทางและการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย (Thai Red Cross AIDS Research Centre). ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตรวจและการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.trcarc.org
Comments