top of page

เตือนภัย! โรคซิฟิลิสระบาดหนักในกลุ่มวัยรุ่นหลายจังหวัด

Updated: Jul 3

โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้จากการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และทางปาก โรคนี้เคยถูกควบคุมได้ดีในอดีต แต่กลับมาระบาดอีกครั้งในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และเยาวชน

ภาพเตือนภัยโรคซิฟิลิสระบาดในกลุ่มวัยรุ่นหลายจังหวัดของไทย เน้นการให้ความรู้และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เตือนภัย! โรคซิฟิลิสระบาดหนักในกลุ่มวัยรุ่นหลายจังหวัด

สถานการณ์โรคซิฟิลิสในไทยปี 2568 กลุ่มเสี่ยงหลัก คือ วัยรุ่น

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าปี 2568 มีจำนวนผู้ติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 15–24 ปี ซึ่งถือเป็นวัยที่เริ่มมีพฤติกรรมทางเพศอย่างเปิดเผย และบางครั้งขาดความรู้ในการป้องกันโรค

จังหวัดที่พบการระบาดสูง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และนครศรีธรรมราช ซึ่งมักเป็นเมืองใหญ่หรือศูนย์กลางการศึกษา และการท่องเที่ยว มีความหนาแน่นของวัยรุ่นสูง และมีพฤติกรรมเสี่ยงที่มากขึ้นจากการใช้แอปหาคู่ หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน


พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้โรคซิฟิลิสกลับมาระบาดในวัยรุ่น


มีเพศสัมพันธ์หลายคน หรือคู่นอนเปลี่ยนบ่อย

การมีเพศสัมพันธ์กับหลายคนในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง จะเพิ่มโอกาสในการสัมผัสกับผู้ที่อาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ซิฟิลิสสามารถติดต่อได้แม้ไม่มีอาการชัดเจนในอีกฝ่าย (เช่น แผลริมแข็งที่ไม่เจ็บหรือหายไปเอง) และหากไม่มีการตรวจสุขภาพก่อนเปลี่ยนคู่นอน ความเสี่ยงก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ พฤติกรรมนี้พบได้บ่อยในหมู่วัยรุ่นที่มองว่าเซ็กส์คือการแสดงออกหรือความสนุกสนาน มากกว่าความรับผิดชอบทางสุขภาพ


ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์

การไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้โรคซิฟิลิสแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เพราะเชื้อสามารถถ่ายทอดผ่านสารคัดหลั่งหรือแผลที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ถุงยางอนามัยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เชื้อผ่านจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง การงดใช้ หรือใช้แบบผิดวิธี เช่น ใช้ถุงยางซ้ำ หรือใส่ไม่เต็มที่ ก็อาจทำให้การป้องกันล้มเหลวโดยไม่รู้ตัว


มีเพศสัมพันธ์ขณะมึนเมาหรืออยู่ในสถานบันเทิง

การมีเพศสัมพันธ์ในขณะเมา หรืออยู่ในภาวะที่ควบคุมตนเองได้น้อย เช่น หลังดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติด จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างมาก เพราะมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ปลอดภัย เช่น ลืมใช้ถุงยาง หรือมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าโดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย การมีเพศสัมพันธ์แบบฉับพลันโดยไม่มีการวางแผนหรือป้องกันล่วงหน้า คือหนึ่งในช่องทางที่ซิฟิลิสระบาดในกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบัน


ร่วมกิจกรรม Chemsex หรือปาร์ตี้ยาเสพติดที่นำไปสู่เพศสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว

Chemsex คือการใช้สารกระตุ้น เช่น GHB, Methamphetamine หรือ Ketamine ร่วมกับกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะในหมู่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย การใช้ยาเหล่านี้สามารถลดการยับยั้งชั่งใจ ทำให้มีเพศสัมพันธ์ที่ยาวนาน รุนแรง หรือหลายคนในคราวเดียว อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อซิฟิลิสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของยา ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นอีกเท่าตัว


ขาดความรู้เรื่องการตรวจหา และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วัยรุ่นจำนวนมากยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะซิฟิลิส เช่น คิดว่าซิฟิลิสเป็นโรคของ “คนยุคก่อน” หรือเกิดเฉพาะใน “กลุ่มชายรักชาย” บางคนไม่ทราบว่าซิฟิลิสสามารถไม่มีอาการในช่วงแรก และสามารถติดต่อแม้ไม่มีแผลให้เห็นชัด การไม่รู้ว่าควรตรวจเมื่อไหร่ ตรวจที่ไหน หรือคิดว่าตนเองยัง “ปลอดภัย” ทำให้ไม่ได้รับการตรวจรักษา ส่งผลให้เชื้อซิฟิลิสแพร่กระจายออกไปมากขึ้นในชุมชนวัยรุ่น


อาการของโรคซิฟิลิสในวัยรุ่นที่ควรระวัง

โรคซิฟิลิสมีอาการแบ่งเป็นระยะ โดยเริ่มจากแผลริมแข็งที่อวัยวะเพศหรือปาก จากนั้นหากไม่ได้รับการรักษาจะเข้าสู่ระยะผื่นทั่วตัว และหากปล่อยไว้จนเรื้อรังอาจลุกลามถึงสมองหรือหัวใจ

วัยรุ่นส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนติดเชื้อ เพราะระยะแรกของโรคอาจไม่มีอาการ หรือแผลหายได้เอง ทำให้โรคดำเนินไปโดยไม่รู้ตัว


ซิฟิลิสมีอาการแบ่งเป็นระยะ ดังนี้


ระยะแรก (Primary Syphilis) – แผลริมแข็งที่อาจไม่รู้ตัว

  • ลักษณะอาการ จะมีแผลลักษณะริมแข็ง ที่อวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก หรือบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย แผลมักไม่มีอาการเจ็บ ไม่คัน และไม่บวมแดงเหมือนแผลติดเชื้อทั่วไป

  • สิ่งที่ควรระวังในวัยรุ่น วัยรุ่นจำนวนมากไม่ทันสังเกต เพราะแผลเล็ก ไม่เจ็บ และแผลมักหายไปได้เองภายใน 2–6 สัปดาห์ ทำให้เข้าใจผิดว่า “หายดีแล้ว” ทั้งที่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย


ระยะที่สอง (Secondary Syphilis) – ผื่นทั่วตัว และอาการคล้ายไข้หวัด

  • ลักษณะอาการ มีผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือทั้งตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดศีรษะ เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย หรือผมร่วงเป็นหย่อม ๆ

  • สิ่งที่ควรระวังในวัยรุ่น ผื่นของซิฟิลิสอาจไม่คัน และมักไม่มีตุ่มหนอง ทำให้สับสนกับผื่นภูมิแพ้ หรือสิว วัยรุ่นที่ใช้ยาแต้มผิวหนัง หรือยารักษาสิวเอง อาจทำให้ผื่นหายชั่วคราว แต่ไม่ทำให้เชื้อหาย และอาการที่คล้ายไข้หวัด หรือเหนื่อยง่าย อาจถูกเข้าใจว่าแค่ “พักผ่อนน้อย” จึงไม่ไปพบแพทย์


ระยะแฝง (Latent Syphilis) – เชื้อแฝงในร่างกาย ไม่มีอาการ

  • ลักษณะอาการ ไม่แสดงอาการใด ๆ แต่อยู่ในร่างกาย และสามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเลือด

  • สิ่งที่ควรระวังในวัยรุ่น

    • วัยรุ่นที่ไม่เคยตรวจเลือด อาจไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นพาหะของโรค

    • ระยะนี้สามารถดำเนินไปได้นานหลายปี และอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว


ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis) – ความเสียหายต่ออวัยวะภายใน

  • ลักษณะอาการ หากปล่อยไว้ไม่รักษา เชื้อจะลุกลามสู่หัวใจ หลอดเลือด ระบบประสาท หรือสมอง เกิดภาวะเช่น

    • หลอดเลือดโป่งพอง

    • สมองเสื่อม ความจำเสื่อม สูญเสียการทรงตัว หรืออัมพาต

    • ตาบอด หรือหูหนวก

  • สิ่งที่ควรระวังในวัยรุ่น

    • แม้ภาวะเหล่านี้จะใช้เวลานานกว่าจะเกิด แต่วัยรุ่นที่ติดเชื้อแล้วไม่เคยตรวจหรือรักษา อาจเข้าสู่ภาวะเรื้อรังโดยไม่รู้ตัวจนสายเกินแก้

    • ความเสียหายต่อสมองหรือหัวใจมักไม่สามารถฟื้นกลับมาได้แม้รักษาเชื้อหายแล้ว

วัยรุ่นไทยเสี่ยงติดเชื้อซิฟิลิสจากพฤติกรรมทางเพศไม่ปลอดภัย
ทำไมวัยรุ่นถึงไม่รู้ว่าตนติดเชื้อซิฟิลิส

ทำไมวัยรุ่นถึงไม่รู้ว่าตนติดเชื้อซิฟิลิส?

แม้ซิฟิลิสจะเป็นโรคที่สามารถตรวจ และรักษาได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริง วัยรุ่นจำนวนมากกลับไม่รู้ตัวว่าตนติดเชื้อ เหตุผลหลัก ๆ มีดังนี้

  • ขาดการเรียนรู้เพศศึกษาอย่างถูกต้อง การเรียนการสอนเพศศึกษาในระบบการศึกษายังไม่ทั่วถึงหรือไม่ครอบคลุมเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง ทำให้วัยรุ่นขาดความเข้าใจเรื่องการป้องกัน การสังเกตอาการ และการเข้าถึงบริการตรวจรักษา

  • เชื่อว่าแค่ไม่มีอาการ แปลว่าไม่เป็นอะไร ซิฟิลิสในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน หรือแผลริมแข็งอาจหายไปเอง ทำให้วัยรุ่นเข้าใจผิดว่าตนไม่ติดเชื้อ ทั้งที่เชื้อยังแฝงอยู่ในร่างกาย และสามารถแพร่ต่อได้

  • เขินอาย ไม่กล้าไปตรวจ ความอาย ความกลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องเพศ ทำให้วัยรุ่นหลายคนเลือกที่จะไม่เข้ารับการตรวจโรค แม้จะมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ

  • คิดว่าซิฟิลิสเป็นโรคในอดีต หรือเกิดเฉพาะกับกลุ่มชายรักชาย วัยรุ่นบางคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าโรคซิฟิลิสเป็นโรคของยุคเก่า หรือโรคของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันซิฟิลิสกลับมาระบาดในทุกเพศ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง


ผลกระทบระยะยาว ไม่ใช่แค่เรื่องผิวหนัง แต่ถึงชีวิต

หากปล่อยให้ซิฟิลิสดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เช่น

  • สมองอักเสบ ความจำเสื่อม อัมพาต เชื้อซิฟิลิสสามารถลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท ทำลายสมอง และไขสันหลัง

  • หัวใจล้มเหลวจากหลอดเลือดอักเสบ เชื้ออาจทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ ส่งผลถึงหัวใจโดยตรง

  • ภาวะซิฟิลิสแต่กำเนิด หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ และไม่ได้รับการรักษาอาจถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารก ทำให้เกิดภาวะซิฟิลิสแต่กำเนิดซึ่งอันตรายถึงชีวิต

  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ถึง 2–5 เท่า เพราะแผลจากซิฟิลิสทำให้เชื้อเอชไอวี เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นการอักเสบที่เอื้อต่อการติดเชื้อ


จะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อซิฟิลิส?

การตรวจเลือด คือ วิธีที่แม่นยำที่สุด และเป็นมาตรฐานสากลในการวินิจฉัยโรคซิฟิลิสในปัจจุบัน เพราะสามารถตรวจพบการติดเชื้อได้แม้ไม่มีอาการใด ๆ และช่วยให้รู้สถานะการติดเชื้อได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งสำคัญมากต่อการรักษาให้หายขาด


การตรวจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • การตรวจคัดกรอง (Screening Tests) การตรวจประเภทนี้ใช้เพื่อดูว่าร่างกายมี “แอนติบอดี” หรือไม่ ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อซิฟิลิส

    • ตัวอย่างการตรวจ

      • VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)

      • RPR (Rapid Plasma Reagin)

    • หากผลตรวจคัดกรองออกมา “บวก” หมายความว่าอาจมีการติดเชื้อ และต้องส่งตรวจซ้ำด้วยวิธีที่แม่นยำกว่าเพื่อยืนยันผล

  • การตรวจยืนยัน (Confirmatory Tests) หากผลคัดกรองออกมาเป็นบวก จำเป็นต้องตรวจยืนยันอีกครั้งเพื่อแยกแยะว่าผลบวกนั้นเป็น “ผลแท้” หรือ “ผลลวง” (false positive)

    • ตัวอย่างการตรวจ

      • TPHA (Treponema pallidum Hemagglutination Assay)

      • FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody-Absorption)

    • การตรวจเหล่านี้จะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิสโดยตรง และสามารถระบุได้แน่ชัดว่าผู้รับการตรวจติดเชื้อจริงหรือไม่


ระยะเวลารู้ผล: รวดเร็ว และไม่ซับซ้อน

  • การตรวจแบบปกติ (VDRL/RPR + TPHA) ใช้เวลา 1–3 วันทำการ ก็สามารถทราบผลได้

  • การตรวจแบบรู้ผลเร็ว (Rapid Test) ใช้เวลาเพียง 15–30 นาที โดยไม่ต้องรอหลายวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทราบผลทันที

ภาพให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการรักษาโรคซิฟิลิส เช่น การฉีดยาเพนิซิลลิน การติดตามอาการ และการป้องกันการแพร่เชื้อ
แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิส

แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิสอาจฟังดูน่ากังวล แต่ข่าวดีคือ สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% หากตรวจพบเร็ว และได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น ยิ่งรักษาเร็ว โอกาสหายก็ยิ่งสูง และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา


ยาหลักในการรักษา คือ ยาเพนิซิลลิน (Penicillin)

  • ยาหลักที่ใช้ในการรักษาซิฟิลิสคือ Benzathine Penicillin G เป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อ Treponema pallidum ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค

  • ในกรณีของซิฟิลิสระยะที่ 1 หรือระยะที่ 2 แพทย์จะฉีดยาเพนิซิลลินเข้ากล้ามเนื้อเพียง ครั้งเดียว (2.4 ล้านยูนิต) ก็เพียงพอในการรักษา

  • แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ใน ระยะแฝงปลาย (ติดเชื้อมานานเกิน 1 ปี) หรือ ระยะที่ 3 จะต้องฉีดยาสัปดาห์ละ 1 ครั้งติดต่อกัน 3 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อถูกกำจัดหมด

  • สำหรับผู้ที่ติดเชื้อขึ้นสมอง (Neurosyphilis) จะต้องรับยาเพนิซิลลินขนาดสูงทางหลอดเลือดดำต่อเนื่องหลายวัน และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ภายในโรงพยาบาล


หากแพ้ยาเพนิซิลลิน: มีทางเลือกอื่น

ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้เพนิซิลลิน แพทย์จะพิจารณาให้ยาทดแทนที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เช่น:

  • Doxycycline (โดซี่ไซคลิน) รับประทานต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค

  • Ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ โดยต้องให้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ทุกการใช้ยาทดแทนต้องอยู่ภายใต้ การดูแลอย่างใกล้ชิดจากบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง และรับรองว่าการรักษาได้ผล


ติดตามผลการรักษา ควรตรวจเลือดซ้ำเป็นระยะ

  • หลังการรักษา แพทย์จะนัดตรวจเลือดซ้ำเพื่อติดตามว่า ระดับแอนติบอดีต่อเชื้อซิฟิลิสลดลง หรือไม่

  • มักตรวจในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือน หลังการรักษา

  • หากระดับภูมิคุ้มกัน (เช่น ค่า RPR) ลดลง แสดงว่าการรักษาได้ผล

  • ถ้าระดับไม่ลดลงตามที่ควร หรือเพิ่มขึ้นอีก อาจต้องสงสัยว่ามีการติดเชื้อซ้ำหรือการรักษาไม่สมบูรณ์


จะป้องกันโรคซิฟิลิสได้อย่างไร?

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

  • พูดคุยเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอน

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น sex แบบไม่ป้องกัน, chemsex

  • หากมีอาการสงสัย หรือเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ควรรีบตรวจ


การระบาดของโรคซิฟิลิสในกลุ่มวัยรุ่นไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่สะท้อนถึงความจำเป็นของการส่งเสริมเพศศึกษา การเข้าถึงบริการสุขภาพ และการสื่อสารแบบเปิดใจระหว่างวัยรุ่น ครอบครัว และผู้ให้บริการทางการแพทย์

เพราะโรคนี้ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย และไม่รอให้คุณพร้อม—ตรวจให้เร็ว ป้องกันให้เป็น และรักษาให้หาย


เอกสารอ้างอิง

Kommentare


12 Terry Francine St.

San Francisco, CA 94158

Opening Hours

Mon - Fri

8:00 am – 8:00 pm

Saturday

9:00 am – 7:00 pm

​Sunday

9:00 am – 9:00 pm

bottom of page