ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARV)
- Siri Writer
- Dec 16, 2023
- 2 min read
Updated: Dec 27, 2023
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มีการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพมากซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดีได้ ด้วยการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และการรักษาเอชไอวีที่มีประสิทธิผล จะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่จะไม่มีอาการป่วยที่พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ และยังช่วยให้มีอายุขัยที่ใกล้เคียงคนปกติทั่วไป
โดยเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นไวรัสชนิดรีโทรไวรัส (Retrovirus) โดยเป็นเชื้อไวรัสที่มีสารพันธุกรรมเป็นอาร์เอ็นเอ (RNA) ที่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมจากอาร์เอ็นเอไปเป็นดีเอ็นเอ (DNA) เพื่อให้สามารถอาศัยในโครโมโซม (Chromosome) ของเซลล์เจ้าบ้านที่มีสารพันธุกรรมเป็นดีเอ็นเอ (หมายถึงมนุษย์) ได้ เมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายลดต่ำลง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆได้ง่ายขึ้น และเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยและการตายของผู้ป่วย

ยาต้านรีโทรไวรัส คืออะไร?
ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretroviral drugs : ARV) หรือที่เราเรียกว่า ยาต้านไวรัสเอชไอวี คือ ยาที่ใช้ในการรักษาเอชไอวี ทำหน้าที่ยับยั้ง หรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี หรือเพื่อช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย เมื่อใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี มีประสิทธิภาพมากในการจำกัดผลกระทบของไวรัสเอชไอวี
การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี นี้ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับโรคได้ และ ป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี พัฒนาเป็นโรคเอดส์ รวมถึงการทำให้ไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้ ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสเอชไอวี มีมากกว่า 40 ชนิดได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาเอชไอวี คนส่วนใหญ่ที่รักษาเชื้อเอชไอวีจะรับประทานยาเหล่านี้ตั้งแต่สองตัวขึ้นไปในแต่ละวันไปตลอดชีวิต
เป้าหมายของการรักษาเอชไอวี ด้วยยาต้านรีโทรไวรัส
การรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัส ถือเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่ง สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ดังนี้
ลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือดให้ได้มากที่สุดจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจ วัดได้ และให้คงระดับนั้นไว้ให้ได้นานที่สุด โดยจะทำให้เชื้อเอชไอวี มีจำนวนต่ำกว่า 200 หน่วยต่อมิลลิลิตรของเลือด
ลดอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี
ทำให้ผู้ป่วยที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ฟื้นฟู และรักษาสภาพการทำงานของระดับภูมิคุ้มกันฯ หรือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีโอกาสสร้างเซลล์ CD4 ได้มากขึ้น ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้กลับคืนมาทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพ
ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้
ในคนส่วนใหญ่ที่ใช้ยาต้านรีโทรไวรัส จะทำให้เชื้อเอชไอวีอยู่ภายใต้การควบคุมภายใน 6 เดือน แต่ต้องใช้ยาต้านรีโทรไวรัส หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัด

หลักการทำงานของยาต้านรีโทรไวรัส
โดยยาต้านรีโทรไวรัส หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี มีกลไกการทำงานหลัก ดังนี้
ยับยั้งการเกาะจับ และเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย (Entry and Fusion Inhibitors)
โดยกลไกของยาเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะยับยั้งการเชื่อมรวมระหว่างเปลือกหุ้มของไวรัสเอชไอวี กับผนังเซลล์ของเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ได้ ทำให้เชื้อเอชไอวีไม่สามารถเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ได้ เช่น ยา Enfavirtide
ยับยั้งกระบวนการรีเวิร์สทรานสคริปเทส (Reverse Transcriptase Inhibitors)
ซึ่งแบ่งยาเป็น 2 กลุ่มคือ
Nucleoside/Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs, กลไกของยากลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะยับยั้งการทํางานของเอนไซม์ชื่อ รีเวิร์สทรานสคริปเตส (Reverse Transcriptase enzyme: เอนไซม์ที่ช่วยสร้างดีเอ็นเอให้แก่ไวรัสเอชไอวีเพื่อให้สามารถเพิ่มจำนวนและอาศัยในดีเอ็นเอของมนุษย์ได้) ของเชื้อไวรัสเอชไอวี จึงส่งผลทำให้ การเชื่อมต่อดีเอ็นเอของไวรัสหยุดชะงัก เชื้อไวรัสจึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ในร่างกายมนุษย์ เช่น ยา Zidovudine, Didanosine, Stavudine, Lamivudine, Abacavir, Emtricitabine
Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NNRTIs, กลไกของยากลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะยับยั้งการทํางานของเอนไซม์รีเวิร์สทรานสคริปเตส 2 Reverse Transcriptase enzyme ซึ่งเป็นกลไกเดียวกันกับยากลุ่ม NRTIs ดังข้อ 1 ) เช่น ยา Nevira pine, Efavirenz, Delavudine, Etravirine, Rilpivirine
ยับยั้งกระบวนการอินทีเกรชั่น (Integrase inhibitor, INSTs)
โดยกลไกของยากลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วยาจะทำรบกวนการทำงานของเอนไซม์อินทีเกรซของเชื้อไวรัสเอชไอวี ป้อง กันไม่ให้ proviral DNA ของเอชไอวีเข้าเชื่อมต่อกับสายดีเอ็นเอของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ของมนุษย์ ช่วยเพิ่มเติม function ย่อๆของยากลุ่มนี้) เช่น ยา Raltegravir
ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส (Protease Inhibitors, PIs)
โดยกลไกของยากลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะทำการยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสของเชื้อไวรัสเอชไอวี ทำให้การสร้างส่วนประกอบโปรตีนของไวรัสเอชไอวีไม่สมบูรณ์/Immature virion จึงทำให้ไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวีรอบใหม่ได้) เช่น ยา Sequinavir, Ritonavir, Indinavir, Nelfinavir, Fosampre navir, Lopinavir, Atazanavir, Tipranavir, Darunavir

ผลข้างเคียงของยาต้านรีโทรไวรัส
ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงบางส่วนจากยาต้านรีโทรไวรัส และคำแนะนำวิธีรับมือกับยาต้านรีโทรไวรัส ดังนี้
ผลข้างเคียงอื่นๆ
ปฏิกิริยาแพ้ยาอะบาคาเวียร์ (มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน และผลข้างเคียงอื่นๆ จากการใช้ยาอะบาคาเวียร์)
เลือดออก
สูญเสียกระดูก
โรคหัวใจ
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและโรคเบาหวาน
มีระดับของกรดแลกติกในเลือดสูง หรือภาวะเลือดเป็นกรด
ไต ตับ หรือตับอ่อน เกิดความเสียหาย
มีอาการชา ปวดแสบปวดร้อน หรือปวดที่มือหรือเท้า จากปัญหาที่ระบบประสาท

ข้อควรระวังการใช้ยาต้านรีโทรไวรัส
พิจารณาอาการแพ้ยา/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง) ที่รุนแรงของผู้ป่วย หากผู้ ป่วยเคยมีประวัติการใช้ยาต้านรีโทรไวรัสมาก่อน โดยห้ามใช้กับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ หรือแพ้ส่วนประ กอบของยานั้นๆ หรือระวังการใช้ยาในกลุ่มเดียวกับที่ผู้ป่วยแพ้
ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาหากท่านกำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
หากท่านมีการทำงานของไตบกพร่อง, ตับบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ โปรดแจ้งแพทย์ที่ดูแลท่านเสมอ เพราะอาจจำเป็นต้องปรับขนาดยาต้านรีโทรไวรัสตามค่าการทำงานของไตและตับ หรืออาจต้องทำการรักษาโรคประจำตัวเดิมของท่านก่อนการเริ่มใช้ยาต้านรีโทรไวรัส
ยาต้านรีโทรไวรัสบางตัวมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาชนิดอื่นๆ ดังนั้นแจ้งแพทย์และเภสัชกรเสมอว่า ท่านมียาใดบ้างที่กำลังรับประทานอยู่ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสมุน ไพร
ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลท่าน หากท่านจำเป็นต้องหยุดยาต้านรีโทรไวรัสเช่น ผู้ป่วยที่มีอาการพิษจากยาที่รุนแรง หรือจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานยา เช่น ช่วงถือศีลอด, ต้องเข้ารับการผ่าตัด, เดินทางไปต่างประเทศที่มีเวลาไม่ตรงกับประเทศไทย หรือหยุดยาแล้วกำลังจะเริ่มใช้ยาใหม่อีกครั้ง
ไม่แบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
ไม่ใช้ยาหมดอายุ
ไม่เก็บยาหมดอายุ
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัส
สาเหตุของการดื้อยาต้านรีโทรไวรัส ในแต่ละกลุ่มยา มีดังนี้
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Entry inhibitor
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้ คือ เชื้อเอชไอวีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนของตัวเชื่อม (ที่มีชื่อว่า Glycoprotein 41) ที่ช่วยให้เปลือกหุ้มของเชื้อเอชไอวีเชื่อมกับผนังเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 เพื่อให้เชื้อเอชไอวีสามารถแทรกเข้าไปในผนังเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา ยาต้านไวรัสจึงไม่สามารถเข้าไปยับยั้งการเชื่อมรวมระหว่างเปลือกหุ้มของไวรัส กับผนังเซลล์ของเม็ดเลือดขาวชนิดซีดี-4 ได้ ทำให้เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 ได้
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NRTIs)
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้ คือ การทำให้ยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม NRTIs หรือ Nucleoside/Nucleotide ที่สังเคราะห์ขึ้นไม่สามารถจับกับดีเอ็นเอของรีโทรไวรัสได้เช่น การดื้อยาลามิวูดีน
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Non- Nucleoside Reverse Transcrip tase Inhibitor (NNRTIs)
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้ คือ การกลายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้ยาในกลุ่ม NNRTIs ไม่สามารถเข้ามาจับกับเอนไซม์ Reverse transcriptase ได้ ซึ่งการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากยา กลุ่มนี้เป็นยาหลักในการสร้างสูตรยาต้านไวรัสและเป็นกลุ่มยาที่มีการดื้อยาชนิดที่รุนแรงเช่น การดื้อยาเนวิราปีน, เอฟฟาไวเรนซ์
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Protease Inhibitor (PIs)
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้ คือ การกลายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้ยาในกลุ่ม PIs ไม่สามารถจับกับเอนไซม์ Protease/เอนไซม์เกี่ยวกับการทำงานของโปรตีนได้ ซึ่งการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากยากลุ่มนี้เป็นยาหลักในการสร้างสูตรยาต้านรีโทรไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อที่ผ่านการรักษาที่ล้มเหลวและมีการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสมาแล้ว
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Integrase inhibitor (INSTs)
การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้ คือ จะเกิดขึ้นเมื่อไวรัสเอชไอวีเกิดการกลายพันธุ์จนทำให้กรดอะมิโนบางตัวเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ยากลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าไปทำลายการเจริญเติบโตของไวรัสได้

วิธีการเก็บรักษายาต้านรีโทรไวรัส
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง ไม่เก็บยาในที่อุณหภูมิสูงเกินกว่า 30 องศาเซลเซียส
ไม่เก็บยาในห้องที่ร้อนจัด หรือ มีความชื้นมาก เช่น ห้องที่ถูกแสงแดดส่องถึงทั้งวัน ในรถยนต์ ห้องครัว หรือห้องน้ำ
ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม
เก็บยาให้พ้นมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง
เก็บยาให้พ้นจากแสงแดดหรือบริเวณที่มีแสงสว่างส่องถึงตัวยาตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อรักษาคุณภาพของยาให้มีประสิทธิภาพตลอดถึงวันสิ้นอายุของยา
หากยาเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพเช่น สี, ลักษณะเม็ดยา/สารละลายเปลี่ยนแปลงจากปกติ ควรทิ้งยาทันที
ควรศึกษาเอกสารกำกับยา/ ฉลากยา ทุกครั้งสำหรับวิธีการเก็บรักษายาแต่ละชนิด เนื่องจากยาบางชนิดอาจจำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น หรือมีวิธีการเก็บรักษาพิเศษจำเพาะ
ยาต้านรีโทรไวรัส หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นกลุ่มยาที่มีความสำคัญในการรักษาเอชไอวี ยาเหล่านี้ทำงานโดยการยับยั้ง และช่วยควบคุมการลุกลามของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อต้านเชื้อเอชไอวี
การใช้ยาต้านรีโทรไวรัสต้องมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของยา และยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจในระยะยาว



Comments