top of page

รายงานล่าสุด! ปี 2568 ไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่กว่า 13,000 คน

Updated: 2 hours ago


แม้ว่าโลกจะก้าวหน้าในการรักษาเอชไอวี และการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี แต่ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2568 เผยให้เห็นว่าภารกิจยังไม่จบ เมื่อประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ถึง 13,357 คน และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสมสูงถึง 547,556 คน โดยส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการให้ความรู้ การป้องกัน และการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศยังมีจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน


ในปี 2568 ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี (HIV) จาก รายงานล่าสุดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า

  • จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสม อยู่ที่ 547,556 คน

  • จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ถึง 13,357 คน ภายในปีเดียว

ปี 2568 ไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่กว่า 13,000 คน
รายงานล่าสุด! ปี 2568 ไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่กว่า 13,000 คน

ปี 2568 ไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี กว่า 13,000 รายใหม่ ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

สถานการณ์เอชไอวีในประเทศไทยประจำปี 2568 ยังคงน่าเป็นห่วง เมื่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ปีนี้มี ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ถึง 13,357 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงช่องว่างสำคัญด้านการป้องกัน การให้ความรู้ และการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ แต่มีความเข้มข้นในพื้นที่เขตเมือง และจังหวัดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวิถีชีวิตแบบเปิดหรือกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคม ทำให้ไม่กล้าเข้ารับการตรวจหรือปรึกษาแพทย์อย่างเปิดเผย


กลุ่มอายุที่พบการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุด

การวิเคราะห์ตามช่วงอายุพบว่า กลุ่มวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาวยังคงเป็นกลุ่มหลักของการติดเชื้อรายใหม่


  • กลุ่มอายุ 15–24 ปี เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสูงสุดของผู้ติดเชื้อรายใหม่ คิดเป็นกว่า 35% ของทั้งหมด เป็นช่วงวัยแห่งการค้นหาตัวตน การเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ และบางรายยังขาดความรู้เรื่องการป้องกันหรือการเข้าถึง PrEP/PEP อย่างเหมาะสม

  • กลุ่มอายุ 25–34 ปี รองลงมาคือกลุ่มวัยทำงานตอนต้น ซึ่งมีความเป็นอิสระในการดำเนินชีวิตมากขึ้น มีคู่นอนหลายคน หรือใช้แอปนัดหมายทางเพศ (hook-up apps) เป็นประจำ ซึ่งหากไม่มีการใช้ถุงยางอนามัยหรือการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชไอวี


กลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด

แม้ว่าการรณรงค์ป้องกันเอชไอวี ในประเทศไทยจะดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อมูลจากปี 2568 สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มเสี่ยงบางกลุ่มยังมีอัตราการติดเชื้อสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล บริการ และการสนับสนุนเชิงระบบ

  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) กลุ่ม MSM ยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศไทย เหตุผลหลักคือความเสี่ยงของเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งเป็นลักษณะพฤติกรรมที่ไวต่อการติดเชื้อมากกว่าเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคทางสังคม เช่น ความอับอาย การตีตรา และการถูกเลือกปฏิบัติที่ทำให้หลายคนในกลุ่มนี้ไม่กล้าเข้ารับบริการทางสุขภาพ

  • กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยรุ่นถือเป็นกลุ่มที่น่ากังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 15–24 ปี ที่พบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่มากถึงกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดในปี 2568 วัยรุ่นจำนวนมากขาดการเรียนรู้เรื่องเพศอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับ PrEP, PEP และการใช้ถุงยางอย่างถูกวิธี รวมถึงการเข้าถึงบริการในโรงเรียนหรือชุมชนที่ยังไม่เพียงพอ

  • ผู้ใช้สารเสพติด กลุ่มผู้ใช้สารเสพติด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ยังคงมีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อเอชไอวี นอกจากนี้ การใช้ยาเสพติดกระตุ้น เช่น ไอซ์ หรือยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ อาจทำให้บุคคลควบคุมตนเองได้น้อยลงขณะมีเพศสัมพันธ์ นำไปสู่การละเลยการใช้ถุงยางหรือมีคู่นอนหลายคนในเวลาใกล้เคียงกัน


จังหวัดที่มีอัตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีสูงสุดในปี 2568

ข้อมูลการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวีใหม่ในประเทศไทยพบว่า มีบางจังหวัดที่มีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ ได้แก่

  • กรุงเทพมหานคร ด้วยความเป็นเมืองหลวง มีประชากรแฝง และกลุ่มประชากรที่หลากหลาย การใช้ชีวิตแบบเสรี และมีโอกาสเปลี่ยนคู่นอนสูง ทำให้เป็นพื้นที่ที่มีการติดเชื้อสูงต่อเนื่องทุกปี

  • เชียงใหม่ จังหวัดที่มีทั้งนักท่องเที่ยว นักศึกษา และกลุ่มวัยรุ่นที่เข้าถึงโซเชียลมีเดียและแอปนัดหมายทางเพศได้ง่าย บางครั้งอาจขาดการเข้าถึงความรู้ และบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสม

  • ขอนแก่น เมืองการศึกษา และศูนย์กลางภาคอีสาน มีนิสิตนักศึกษาจำนวนมาก และมีแนวโน้มของพฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม

  • ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติที่มีการเคลื่อนไหวของประชากรสูง ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ ทำให้เป็นจุดเชื่อมโยงของการแพร่กระจายของเชื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาพสื่อถึงสาเหตุหลักของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
แนวทางป้องกันเพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อเอชไอวีด้วยความรู้ และเข้าถึงบริการ

สาเหตุหลักของการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

หนึ่งในข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดจากรายงานสถานการณ์เอชไอวี ปี 2568 คือ มากกว่า 90% ของการติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ในประเทศไทย เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งถือเป็นสาเหตุหลักอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางต่อความเสี่ยง เช่น วัยรุ่น และชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)


พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้ป้องกัน

แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย หรือบริการ PrEP/PEP ได้สะดวกขึ้น แต่พฤติกรรมทางเพศที่ขาดความระมัดระวังยังคงเป็นปัญหา โดยมี 4 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี ดังนี้


  • การไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ หลายคนอาจเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์กับ คนที่ไว้ใจได้ หรือคนที่ดูสะอาด จะปลอดภัยจากการติดเชื้อ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีทางใดรู้ได้แน่ชัดว่าคู่นอนปลอดเชื้อหรือไม่ หากไม่ได้ตรวจเลือดโดยตรง การไม่ใช้ถุงยางในทุกครั้งจึงเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นคู่นอนชั่วคราวหรือคู่นอนหลายคน

  • การใช้สารเสพติดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ สารเสพติด เช่น ยาไอซ์ (methamphetamine), poppers, หรือแม้กระทั่งแอลกอฮอล์ สามารถส่งผลให้เกิดการขาดการควบคุมตนเองในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ เพิ่มโอกาสของการละเลยการป้องกัน เช่น การไม่ใส่ถุงยาง หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีอย่างมีนัยสำคัญ

  • การมีคู่นอนหลายคน ยิ่งจำนวนคู่นอนมากขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงในการรับเชื้อจากใครสักคนที่อาจมีเชื้อโดยไม่รู้ตัวยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ยังอยู่ในช่วงทดลองหรือเริ่มสร้างประสบการณ์ทางเพศ หากขาดความรู้ และไม่ใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม ก็จะเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อในระยะยาว

  • ความไม่เข้าใจเรื่อง PrEP และ PEP แม้ว่ายา PrEP (ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ) และ PEP (ยาหลังมีความเสี่ยงภายใน 72 ชั่วโมง) จะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเอชไอวี แต่กลับยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จัก หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีใช้ และการเข้าถึงบริการเหล่านี้ ซึ่งทำให้พลาดโอกาสในการป้องกันในช่วงเวลาสำคัญ


สิ่งที่ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงควรทำ

การรู้จักตนเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และตัดสินใจดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอเป็นจุดเริ่มต้นของการลดการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้


  • ตรวจเอชไอวีอย่างน้อยทุก 3–6 เดือน

  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยา PrEP หรือ PEP

  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น HPV และไวรัสตับอักเสบ

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับคู่นอนประจำหรือไม่ประจำ

  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดระหว่างมีกิจกรรมทางเพศ

แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยงให้ตนเอง แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัว

แนวทางป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี ด้วยการให้ความรู้และการเข้าถึงบริการตรวจและรักษาอย่างทั่วถึง
แนวทางป้องกันเพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อเอชไอวีด้วยความรู้ และเข้าถึงบริการ

แนวทางป้องกันเพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อเอชไอวีด้วยความรู้ และเข้าถึงบริการ

แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันจะสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่ยังคงเป็นความท้าทายของประเทศไทยในปี 2568 คือการ "หยุดวงจรการแพร่เชื้อ" ให้ได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้อง และการขยายการเข้าถึงบริการอย่างครอบคลุม และเป็นมิตร


ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยยังคงเป็นเครื่องมือป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การรณรงค์ในอดีตอาจเน้นเพียงระดับประชาชนทั่วไป แต่ในยุคปัจจุบันควรเจาะลึกไปถึงกลุ่มเยาวชน นักเรียน และนักศึกษาในสถานศึกษา

  • ควรมีการแจกจ่ายถุงยางฟรีในสถานที่เข้าถึงง่าย เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย คลินิกสุขภาพวัยรุ่น

  • เพิ่มการให้ความรู้เรื่องการใช้ถุงยางที่ถูกวิธีในหลักสูตรเพศศึกษา

  • ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการส่งเสริมการใช้ถุงยางแบบตรงไปตรงมา ไม่ประณามพฤติกรรมทางเพศ


ขยายการเข้าถึง PrEP และ PEP

การเข้าถึงยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีมีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

  • PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): สำหรับบุคคลที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่ม MSM ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • PEP (Post-Exposure Prophylaxis): สำหรับผู้ที่เพิ่งเผชิญกับความเสี่ยงแบบฉุกเฉิน เช่น ถุงยางแตก หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งต้องเริ่มใช้ยาภายใน 72 ชั่วโมง

ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณ และระบบสนับสนุนให้ PrEP และ PEP เป็นบริการที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ติดเงื่อนไขมากเกินไป


เพิ่มคลินิกให้คำปรึกษา และตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่เป็นมิตร

คลินิก และสถานบริการสุขภาพไม่ควรเป็นแค่สถานที่ตรวจเลือด แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ผู้มาใช้บริการรู้สึกปลอดภัย ไม่ถูกตัดสิน และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง

  • สนับสนุนคลินิกเฉพาะทางด้านสุขภาพทางเพศในแต่ละจังหวัด

  • ส่งเสริมบริการตรวจเร็ว รู้เร็ว รักษาเร็ว ด้วยผลตรวจภายในวันเดียว

  • เพิ่มเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมเฉพาะด้าน LGBTQ+ และเพศศึกษาแบบไม่ตัดสิน

การมีคลินิกที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และกลุ่มเปราะบาง จะช่วยลดอคติ และทำให้ประชาชนกล้าที่จะเข้ารับบริการมากขึ้น


สื่อสารสาธารณะด้วยข้อมูลที่เป็นกลาง และสร้างความเข้าใจ

ปัจจุบัน ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอชไอวียังพบได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในสื่อมวลชน การศึกษา และแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ดังนั้น การสื่อสารสาธารณะเชิงบวก และไม่ตีตรา คือกุญแจสำคัญในการเปิดใจประชาชน

  • ใช้ภาษาที่ไม่สร้างความกลัว เช่น ตรวจเพื่อรู้ รู้เพื่อรักษา แทนติดแล้วจะตาย

  • เผยแพร่เรื่องราวของผู้ติดเชื้อที่ควบคุมโรคได้ดี เพื่อสร้างภาพจำใหม่ว่า “อยู่กับเอชไอวีอย่างมีคุณภาพชีวิตเป็นไปได้”

  • สื่อสารแบบสองทาง เช่น การจัดกิจกรรมพูดคุย เสวนา Q&A ในโรงเรียน หรือชุมชนออนไลน์


ความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทย

แม้ว่าประเทศไทยจะมีโครงการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการตรวจเอชไอวีฟรีปีละ 2 ครั้งภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และการจัดสรรยาต้านไวรัสให้กับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ระบบสาธารณสุขไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคที่สำคัญหลายด้านในการจัดการกับการระบาดของเอชไอวีอย่างยั่งยืน


หนึ่งในความท้าทายหลักคือ การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลจากเมืองใหญ่ ทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดโอกาสในการตรวจคัดกรอง ติดตามอาการ หรือแม้แต่รับความรู้เรื่องการป้องกันที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ปัญหาความอาย ความกลัว และอคติที่ยังฝังลึกในสังคม ส่งผลให้หลายคนเลือกที่จะไม่เข้ารับการตรวจเอชไอวี เพราะกลัวถูกตีตราทางสังคมหรือถูกมองในแง่ลบ


กลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ก็ยังถูกมองข้ามในแง่การเข้าถึงบริการที่ตอบโจทย์จริง กลุ่มเหล่านี้มีความต้องการเฉพาะทางที่ระบบบริการสุขภาพทั่วไปอาจยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเพียงพอ ทั้งในด้านภาษาที่ใช้ การให้คำปรึกษา หรือความรู้สึกปลอดภัยเมื่อเข้ารับบริการ


อีกหนึ่งปัญหาที่ซ่อนอยู่คือ การสื่อสารสาธารณะที่ยังไม่สามารถเข้าถึงใจประชาชนได้อย่างแท้จริง แม้จะมีแคมเปญรณรงค์จำนวนมาก แต่หลายครั้งยังคงเน้นข้อมูลเชิงวิชาการหรือขาดมุมมองที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของกลุ่มเสี่ยง ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจเพียงพอให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของการป้องกัน ตรวจหาเชื้อ หรือเริ่มต้นการรักษาอย่างเหมาะสม


ผลกระทบต่อระบบสุขภาพ และเศรษฐกิจ

การมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 13,000 คนในปี 2568 ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อบุคคล และครอบครัว แต่ยังเป็นภาระโดยตรงต่อระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และทรัพยากรทางการแพทย์


ภาระค่าใช้จ่ายต่อระบบสุขภาพ

แต่ละปี ประเทศไทยต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่อยู่ในระบบการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายต่อคนโดยเฉลี่ย ได้แก่:

  • ค่ายาต้านไวรัส (ARV): 20,000 – 30,000 บาท/ปี

  • ค่าตรวจติดตาม (Viral Load, CD4, ผลข้างเคียง): 5,000 – 10,000 บาท/ปี

  • ค่าบริการ และระบบสนับสนุนสุขภาพอื่น ๆ เช่น การให้คำปรึกษา การเข้าถึงคลินิกเฉพาะทาง และค่าเดินทางของผู้ป่วย


ภาระต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

เมื่อคนวัยทำงานติดเชื้อเอชไอวี และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม พวกเขาอาจเผชิญกับโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ สูญเสียรายได้ส่วนบุคคล และลดผลผลิตในระดับชาติ ซึ่งจะเป็นภาระทางเศรษฐกิจในระยะยาวต่อทั้งครอบครัว และประเทศ


ข้อมูลจากปี 2568 สะท้อนว่าการแพร่ระบาดของเอชไอวียังเป็นปัญหาใหญ่ในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สาเหตุหลักคือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และขาดการเข้าถึงความรู้หรือบริการด้านสุขภาพเพศอย่างเพียงพอ


เพื่อหยุดวงจรการติดเชื้อใหม่ รัฐ และประชาชนต้องร่วมมือกันส่งเสริมการใช้ PrEP, ตรวจหาเชื้อเป็นประจำ และลดอคติทางเพศที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้ารับบริการ


เอกสารอ้างอิง

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2568). รายงานสถานการณ์เอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ปี 2568. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th

  • UNAIDS. (2024). Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). HIV Surveillance Report. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/library/reports/hiv-surveillance.html

  • World Health Organization (WHO). (2022). HIV/AIDS: Key facts. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). (2567). ข้อมูลบริการตรวจเอชไอวีและการเข้าถึงยาต้านไวรัสภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.nhso.go.th

תגובות


12 Terry Francine St.

San Francisco, CA 94158

Opening Hours

Mon - Fri

8:00 am – 8:00 pm

Saturday

9:00 am – 7:00 pm

​Sunday

9:00 am – 9:00 pm

bottom of page