ใช้เข็มฉีดยาอย่างไร? ให้ปลอดภัยจากเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- Siri Writer
- May 23
- 3 min read
เข็มฉีดยา เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรค แต่ในขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นพาหะนำโรคที่ร้ายแรง หากใช้ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ผ่านเลือด และของเหลวในร่างกาย ฉะนั้นการเรียนรู้ทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการใช้เข็มฉีดยาอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันตนเอง และผู้อื่นจากโรคที่อาจคุกคามชีวิต

ทำไมการใช้เข็มฉีดยาไม่ถูกวิธีจึงเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี?
เอชไอวี (HIV) หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษา เอชไอวีจะพัฒนาสู่ระยะของโรคเอดส์ (AIDS)
ไวรัสเอชไอวีไม่สามารถอยู่รอดได้นานภายนอกร่างกาย แต่ ภายในเข็มฉีดยาที่ใช้แล้ว โดยเฉพาะในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิไม่สูงมาก เชื้อไวรัสสามารถอยู่รอดได้นานพอที่จะติดต่อสู่คนที่ใช้เข็มนั้นต่อได้ เช่น
กลไกการแพร่เชื้อผ่านเข็ม เมื่อมีการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น (เช่น ฉีดยาเสพติด หรือสักตามบ้าน) หากบุคคลก่อนหน้ามีเชื้อเอชไอวี เลือดของเขาอาจปนเปื้อนในกระบอกฉีดยาหรือปลายเข็ม และเมื่อบุคคลถัดไปใช้เข็มนั้นโดยไม่ฆ่าเชื้อ เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านเส้นเลือด เป็นการติดเชื้อโดย ไม่ต้องผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสโดยตรงกับเลือดแบบเห็นชัด
ความเข้มข้นของเชื้อในเลือด เลือดเป็นของเหลวที่มีปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีสูงที่สุด เมื่อเทียบกับของเหลวชนิดอื่นในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ หรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด ดังนั้นการสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อโดยตรง (ผ่านเข็มฉีดยา) จึงมีโอกาสติดเชื้อได้สูงมาก
การฆ่าเชื้อไม่ถูกวิธี = ไม่ช่วยอะไรเลย บางคนอาจเชื่อว่าการล้างเข็มด้วยน้ำร้อน แอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งดูดน้ำยาฆ่าเชื้อเข้าออกจากเข็ม จะช่วยฆ่าเชื้อได้ ความจริงคือ
แอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีที่อยู่ในรอยเลือดหรือภายในกระบอกฉีดยาได้ 100%
น้ำร้อนที่ไม่ถึงอุณหภูมิ 100°C ก็ยังไม่สามารถทำลายเชื้อได้ทั้งหมด
การต้มในน้ำเดือดไม่ใช่วิธีที่ได้รับการรับรอง เพราะไม่มีการควบคุมเวลา และอุณหภูมิอย่างแม่นยำ
ดังนั้น ทางเดียวที่ ปลอดภัยจริง ๆ คือ ใช้เข็มใหม่ทุกครั้ง ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่นเด็ดขาด
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่เสี่ยงติดผ่านการใช้เข็มร่วมกัน
การใช้เข็มร่วมกันไม่เพียงแค่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์อีกหลายชนิด ดังนี้:
โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) แพร่ผ่านเลือด และของเหลวในร่างกาย ไวรัสสามารถอยู่รอดภายนอกร่างกายได้ถึง 7 วัน ส่งผลต่อการทำงานของตับ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง มะเร็งตับ
โรคไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ไม่มีวัคซีนป้องกัน มักไม่มีอาการในช่วงแรก แต่สามารถพัฒนาไปสู่โรคตับเรื้อรังได้ เป็นโรคที่พบมากในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
โรคซิฟิลิส (Syphilis) แม้ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ แต่ก็สามารถแพร่ผ่านการใช้เข็มปนเปื้อนเชื้อได้ มีหลายระยะ ตั้งแต่ระยะแรกที่มีแผล ไปจนถึงระยะที่เชื้อเข้าสู่ระบบประสาทหากไม่ได้รับการรักษา
โรคหนองใน (Gonorrhea) โดยปกติแพร่ผ่านเพศสัมพันธ์ แต่หากมีการปนเปื้อนของเชื้อในเข็ม เช่น กรณีฉีดยาใต้ผิวหนัง อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตระหนักเรื่องการใช้เข็มฉีดยา
การใช้เข็มฉีดยาอย่างไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะการใช้ซ้ำ หรือใช้ร่วมกับผู้อื่น โดยไม่ได้ฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่นำไปสู่การติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงโรคติดต่อทางเลือด และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้านล่างคือกลุ่มประชากรที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูง ซึ่งจำเป็นต้อง ตระหนัก และระวังเป็นพิเศษ
ผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีด (Injecting Drug Users - IDU) คือ กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น (IDU) เป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงที่สุดทั่วโลก
ทำไมถึงเสี่ยง?
มักใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เนื่องจากเข้าถึงเข็มใหม่ได้ยาก หรือขาดความรู้ด้านสุขอนามัย
เข็มที่ใช้แล้วอาจมีเลือดของผู้ใช้คนก่อนปนเปื้อนอยู่
การเสพยาในสภาพแวดล้อมที่เร่งรีบ ไม่สะอาด มักขาดขั้นตอนการฆ่าเชื้อ
ข้อเท็จจริง
ในบางประเทศ มากกว่า 30% ของผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีดมีเชื้อเอชไอวี
การแจกเข็มสะอาด (needle exchange programs) เป็นแนวทางลดการแพร่เชื้อที่ได้ผล และควรส่งเสริม
ผู้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และใช้สารกระตุ้นทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และกลุ่มที่ใช้ยากระตุ้นอารมณ์ เช่น ยาเค ยาไอซ์ หรือยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศแบบฉีดเข้าเส้น
ทำไมถึงเสี่ยง?
ยากระตุ้นอาจทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ส่งผลให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้เข็มร่วมกัน
ในบางกรณีมีการฉีดยาเพื่อกระตุ้นการแข็งตัวของอวัยวะเพศ โดยใช้เข็มร่วมกัน
ข้อเท็จจริง การใช้ยาเคหรือไอซ์ในกลุ่ม MSM ที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในหลายประเทศ รวมถึงไทย
กลุ่มวัยรุ่น และเยาวชน เยาวชนถือเป็นกลุ่มเปราะบาง เพราะอยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง และมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนหรือโซเชียลมีเดียโดยไม่มีพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้อง
ทำไมถึงเสี่ยง?
อาจเริ่มทดลองใช้ยาเสพติด หรือฉีดสารเสริมความงามตามกระแสนิยม
ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อ และการป้องกัน
เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ หรือกลัวการตีตราจากสังคม
ข้อเท็จจริง ข้อมูลจากหลายประเทศชี้ว่า เยาวชนเริ่มใช้ยาเสพติดเร็วขึ้น และในบางกรณี เริ่มฉีดเข้าร่างกายโดยไม่รู้ว่ากำลังเสี่ยงติดเชื้อร้ายแรง
ผู้รับบริการศัลยกรรม หรือฉีดสารเสริมความงาม เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ วิตามินผิว หรือแม้แต่เมโสแฟต หากกระทำในสถานบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีใบอนุญาต อาจเป็นอันตราย
ทำไมถึงเสี่ยง?
ใช้เข็มซ้ำกับลูกค้าหลายราย
เครื่องมือไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อที่ถูกวิธี
ไม่มีการควบคุมมาตรฐานสาธารณสุข
ข้อเท็จจริง
มีรายงานเคสผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับอักเสบหลังรับบริการฉีดผิวในคลินิกเถื่อน
บางสถานเสริมความงามเคลื่อนที่ ใช้เข็มชุดเดียวกันกับลูกค้าหลายรายเพื่อลดต้นทุน

วิธีใช้เข็มฉีดยาให้ปลอดภัยจากเอชไอวี และโรคติดต่ออื่น ๆ
การใช้เข็มฉีดยาอย่างปลอดภัยไม่ใช่เรื่องเฉพาะของบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้มีโรคประจำตัวเท่านั้น แต่รวมถึงบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้ยาเสพติด ศัลยกรรมเสริมความงาม การฉีดยาเองที่บ้าน หรือแม้แต่ผู้ดูแลผู้ป่วย หากใช้เข็มผิดวิธี ไม่เพียงเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไวรัสตับอักเสบ บี และซี รวมถึงโรคติดต่อทางเลือดอื่น ๆ อีกมากมาย
ใช้เข็มใหม่เสมอ
เข็มฉีดยา ต้องใช้ใหม่ทุกครั้ง เป็นกฎเหล็กที่ห้ามละเลย
เหตุผล
เข็มที่ใช้แล้วอาจมีเลือดปนเปื้อนซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แม้จะผ่านการล้างหรือแช่แอลกอฮอล์ ก็ไม่เพียงพอในการฆ่าเชื้อเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ
เข็มที่ใช้ซ้ำอาจทื่อ ทำให้บาดเจ็บมากกว่าปกติ และเพิ่มโอกาสอักเสบติดเชื้อในร่างกาย
ข้อควรปฏิบัติ
ใช้เข็ม และกระบอกฉีดยาที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน (บรรจุในซองปลอดเชื้อ)
ห้ามใช้เข็มเก็บไว้จากครั้งก่อน แม้จะใช้กับตัวเองก็ตาม
ห้ามใช้เข็มร่วมกับผู้อื่นทุกกรณี
แม้จะเป็นคนใกล้ชิดอย่าง คนในครอบครัวหรือคนรัก ก็ไม่ควรใช้เข็มร่วมกันเด็ดขาด
เหตุผล
เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ในรอยเลือดแม้เพียงเล็กน้อย และเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้รายถัดไป
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซีมีอัตราการติดต่อผ่านเลือดสูงกว่าเอชไอวีหลายเท่า
บางคนอาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว และไม่แสดงอาการ ทำให้เข้าใจผิดว่า “ดูปลอดภัย”
ข้อควรปฏิบัติ
เตรียมเข็มของตนเองเสมอ หากต้องฉีดยาหรือวิตามิน
หากเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ควรเปลี่ยนเข็มใหม่ทุกครั้งกับผู้รับบริการรายใหม่
ทิ้งเข็มอย่างถูกวิธี
การทิ้งเข็มที่ใช้แล้วอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายทางตรง เช่น บาดมือ และทางอ้อม เช่น การติดเชื้อ
เหตุผล
เข็มที่ทิ้งไม่เป็นที่อาจถูกเด็กเก็บมาเล่น คนเก็บขยะสัมผัส หรือสัตว์เลี้ยงไปคาบเล่น
เข็มที่ทิ้งปะปนกับขยะทั่วไปอาจแทงทะลุถุง ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อในสิ่งแวดล้อม
ข้อควรปฏิบัติ
เก็บเข็มที่ใช้แล้วไว้ใน “กล่องทิ้งเข็ม” หรือภาชนะปิดสนิทที่แข็งแรง เช่น ขวดน้ำพลาสติกขุ่นหนา
เขียนกำกับว่า “เข็มใช้แล้ว - อันตราย” บนภาชนะ
นำไปทิ้งที่ศูนย์สาธารณสุข คลินิก หรือสถานพยาบาลที่มีจุดรับทิ้งของมีคมโดยเฉพาะ
หมั่นตรวจเลือด และสุขภาพเป็นประจำ
แม้จะป้องกันอย่างดีที่สุดแล้ว แต่หากเคยมีพฤติกรรมเสี่ยง ก็ควรตรวจเลือดสม่ำเสมอ
เหตุผล
เอชไอวีสามารถอยู่ในร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการนานหลายปี
การตรวจเร็ว รู้เร็ว สามารถเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
โรคติดต่อหลายชนิด เช่น ซิฟิลิส หรือไวรัสตับอักเสบ ซี หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรปฏิบัติ
ควรตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น IDU หรือมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน ควรตรวจทุก 3-6 เดือน
สามารถเข้ารับบริการตรวจได้ฟรีที่โรงพยาบาลรัฐ คลินิกนิรนาม หรือศูนย์บริการสาธารณสุขทั่วประเทศ

หากพลาดใช้เข็มร่วม ควรทำอย่างไร?
การใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเลือดอื่น ๆ หากคุณหรือคนรอบตัวเคยประสบเหตุการณ์นี้ ควรรีบดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ทันที เพื่อเพิ่มโอกาสรอดพ้นจากการติดเชื้ออย่างปลอดภัย
รีบล้างบริเวณที่สัมผัสทันที
การล้างแผลหรือบริเวณที่ถูกเข็มตำเป็นด่านแรกของการลดความเสี่ยง
วิธีปฏิบัติ
ล้างบริเวณที่สัมผัสหรือโดนเข็มตำทันที ด้วย สบู่ และน้ำสะอาด
หากไม่มีสบู่ ให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือ โพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone Iodine)
อย่าพยายามบีบเลือดออกแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย
หลีกเลี่ยงการใช้สารที่ไม่เหมาะสม เช่น ยาทาแผลสดที่มีแอลกอฮอล์สูงหรือทิงเจอร์
คำแนะนำเพิ่มเติม
การล้างทันทีแม้ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ 100% แต่ช่วยลดปริมาณไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ควรรีบไปยังสถานพยาบาลโดยไม่รีรอ
ติดต่อสถานพยาบาลเพื่อรับยา PEP
PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือยาต้านไวรัสที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันเอชไอวี หากรับประทานทันทีหลังสัมผัสเชื้อ
สิ่งที่ควรทำ
รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ภายใน ไม่เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังจากสัมผัสเชื้อ
แจ้งว่ามีการสัมผัสเข็มที่อาจมีเชื้อเอชไอวี เพื่อขอรับ PEP
ยานี้ต้องกิน ติดต่อกันเป็นเวลา 28 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์
ข้อควรรู้
ประสิทธิภาพของ PEP สูงถึง 80–90% หากเริ่มใช้ภายใน 2 ชั่วโมงแรก
ไม่แนะนำให้ซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียง หรือกินไม่ครบคอร์ส
การรับ PEP เป็นบริการที่มีใน โรงพยาบาลรัฐ คลินิกบางแห่ง และศูนย์บริการตรวจเอชไอวีแบบนิรนาม (หลายแห่งมีให้บริการฟรี)
ตรวจหาเชื้อในระยะเวลา 1–3 เดือนหลังจากสัมผัส
แม้จะได้รับ PEP แล้ว ก็ยัง ไม่สามารถยืนยันได้ทันทีว่าไม่ติดเชื้อ จึงควรมีการตรวจเลือดในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ขั้นตอน
ตรวจเลือดครั้งแรกทันทีเมื่อรับ PEP (baseline)
ตรวจซ้ำที่ 1 เดือน และ 3 เดือน เพื่อประเมินผลอย่างครบถ้วน
หากไม่มีการติดเชื้อในช่วง 3 เดือน ถือว่าปลอดภัยจากเหตุการณ์นั้น
เหตุผล
ระยะฟักตัวของเชื้อเอชไอวีอยู่ระหว่าง 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
ตรวจเร็วเกินไปอาจให้ผลลบปลอม (false negative)
การตรวจด้วยชุดทดสอบรุ่นใหม่ (4th Gen) สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วกว่ารุ่นเก่า
การใช้เข็มฉีดยาอย่างปลอดภัย ไม่ได้ยากเกินไป เพียงเริ่มจากการไม่ประมาท ไม่ใช้เข็มร่วมกับใคร และหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ สำหรับใครที่ต้องใช้เข็มในการรักษา ควรตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์ก่อนเสมอ และหากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเสี่ยง อย่ารอให้สายเกินไป รับคำปรึกษาจากสถานพยาบาลหรือองค์กรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวีได้ทันที
เอกสารอ้างอิง
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Safe Injection Practices. Guidelines on how to prevent infections through safe syringe use. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/injection-safety/about/index.html
HIV.gov. Syringe Services Programs. Comprehensive overview of SSPs and their role in reducing HIV transmission. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hiv.gov/federal-response/other-topics/syringe-services-programs
ViiV Healthcare. Chemsex: In Pleasure, Safety and in Health. Information about harm reduction strategies and chemsex awareness. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://viivhealthcare.com/ending-hiv/stories/community-engagement/chemsex/
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เข็มฉีดยาอย่างปลอดภัย และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). แนวทางการใช้ยา PrEP และ PEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
Comments